วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

อุทยานโบราณสถานอังกอร์


อุทยานโบราณสถานอังกอร์

Angkor Archeological Park - Flight of the Gibbon

ความเป็นมา: 
      อังกอร์ (ภาษาเขมรหมายถึง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์) ในประเทศกัมพูชา เป็นดินแดนแห่งอาณาจักรขอมโบราณราวศตรรษวรรษที่ 9 ถึงศตรรษวรรษที่ 15 คำว่าอังกอร์นั้นเป็นคำที่มาจากภาษาสันสกริตซึ่งหมายถึง “นคร

อังกอร์ หรือนครวัด
       กัมพูชานั้นได้รับอิทธิพลทางศาสนาและวัฒนธรรมจากอินเดีย ซึ่งศาสนานี้ยกย่องกษัตริย์เสมือนเทพเจ้าเรียกว่า ลัทธิเทวราชา ซึ่งหมายความว่ากษัตริย์คือตัวแทนของเทพเจ้า พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ทรงสถาปนาตนเป็นพระมหากษัตริย์ อันเป็นจุดเริ่มต้นของจักรวรรดิชะแมร์หรือกัมพูชา นครวัด นครธม เป็นศูนย์กลางของอาณาจักร จนกระทั่งภ่ายแพ้ตกเป็นเมืองขึ้นแก่อยุธยาจวบถึงปีค.ศ.ที่ 1431 จากการถูกโจมตีและได้เผาเมืองหลวงของเขมร ทำให้ชาวบ้านต้องย้ายรากฐานไปอยู่ทางตอนใต้ที่ Longvek

อังกอร์ หรือนครวัด


         ในศรรตวรรษที่ 20 มีนักวิชาการหลายคนเชื่อว่านครและวัดต่างๆ ถูกปกคลุมไปด้วยต้ป่า ในช่วงปลายศตรรษวรรษที่ 19 เมื่อนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศษเริ่ม ทำการบูรณะซากปรักหักพัง เริ่มตั้งแต่ค.ศ. 1907 - 1970 ภายใต้การนำขององค์การ cole francais d’Extreme-Orient เริ่มมีการถางป่า ทำการซ่อมแซมฐานและทำการติดตั้งท่อระบายน้ำเพื่อปกป้องตัวอุโบสถ นอกจากนี้นักวิชาการคือ George Coedes, Maurice Glaize, Paul Mus, Philippe Stern จัดตั้งโครงการทุนการศึกษาประวัติศาสตร์และการตีความเพื่อส่งเสริมให้รู้ความเข้าใจเกี่ยวกับนครอังกอร์



    
Angkor Archeological Park - Flight of the Gibbon
  
        แองกอร์เป็นโบราณสถานที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีพื้นที่กว้างใหญ่กว่า๔๐๐ตารางกิโลเมตรวมบริเวณป่าด้วยอุทยานโบราณแองกอร์เป็นที่ตั้งของซากที่เหลือของเมืองหลวงต่างๆของอาณาจักรเขมร ประเทศกัมพูชาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่๙-๑๕ (พุทธศตวรรษที่ ๑๔-๒๐) รวมถึงนครวัดนครธมปราสาทบายนอันงดงามด้วยการประดับประดาด้วยประติมากรรมมากมายUNESCOได้จัดตั้งโครงการอย่างกว้างขวาง เพื่อป้องกันสถานที่และบริเวณโดยรอบ




          
Angkor Archeological Park - Flight of the Gibbon         ช่วงศรรษวรรษที่ 21 ในปี 2007 มีนักวิจัยที่มาจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้ทำการบันทึกภาพถ่ายดาวเทียมประกอนกับการใช้วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้ผลสรุปว่านครอังกอร์เคยเป็นเมืองอุตสหกรรมที่ใหญ่แห่งหนึ่งในโลกคือมีการสร้างระบบสาธารณูปประโภคยาวประมาณ1,000ตารางกิโลเมตรซึ่งใจกลางสำคัญอยู่ที่วัดหลักๆลักษณะการสร้างจะคล้ายคลึงกับเมืองมารยัน ประเทศกัวเตมาลา ซึ่งระยะทางทั้งหมดประมาณ100ถึง 50 ตารางกิโลเมตร ส่วนเรื่องจำนวนประชากรนั้นยังมีการโต้เถียงกันในเรื่องของจำนวนประชากร เนื่องจากมีการค้นพบหลักฐานเพิ่มเติมว่าพื้นที่นี้สามารถรองรับประชากรได้ถึงหนึ่งล้านคน





Angkor Archeological Park Map      วัด:นครอังกอร์มีวัดเป็นจำนวนทั้งหมดราวพันกว่าวัด เริ่มจากขนาดเล็กที่ก่ออิฐขึ้นกระจัดกระจายอยู่ตามแปลงปลูกข้าวต่างๆจนถึงวัดขนาดใหญ่เช่น นครวัด ซึ่งจัดว่าเป็นศาสนศถานที่ใหญ่ที่สุดในโลกและยังเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัสจรรย์ของโลกอีกด้วยซึ่งมีวัดเป็นจำนวนมากที่ได้มีการบูรณะซ่อมแซม โดยทั้งหมดนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสถาปัตยกรรมของเขมร โดยประมาณการว่ามีผู้เข้าชมเป็นจำนวนกว่าสองล้านคนต่อปีดังนั้นนครวัดและนครธมจึงเป็นสถานที่ถูกคุ้มครองโดยองค์การ UNESCO ให้ถือเป็นเขตสงวน ดังนั้นสถานทีแห่ง่นี้จึงเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวต่างๆจากทั่วโลกและถือเป็นการท้าทายอย่างยิ่งในการบูรณะซ่อมแซมซากปรักหักพัง







            

   ศาสนา:ในยุคเขมรนั้นอาคารสถานต่างๆที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับศาสนา รวมถึงพระตำหนักของกษัตริย์เองจะถูกสร้างขึ้นจากวัสดุที่เน่าเปื่อยได้ ซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจในความเชื่อที่ว่า เทวดาหรือเทพเจ้าเท่านั้นนั้นมีสิทธิ์ประดิษสถานภายในอาคารที่สร้างขึ้นจากอิฐเท่านั้นอันเป็นเหตุให้ชาวอังกอร์โดยส่วนมากเป็นผู้เคร่งศาสนานับจากอดีตจวบจนถึงปัจจุบัน

















         เนื่องจากกัมพูชาติดต่อค้าขายกับอินเดียอยู่เสมอ ชาวเขมรจึงได้รับอิทธิพลด้านศาสนาพุทธและฮินดูเป็นจากประเทศอืนเดีย ซึ่งวัดวาอารามต่างๆที่ถูกสร้างขึ้นล้วนมีสาระสำคัญ ดังจะเห็นได้จากภาพจิตรกรรมและรูปปั้นที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานของทั้งสองศาสนา ถึงแม้ว่าวัดวาอารามต่างๆถูกสร้างขึ้นตามศาสนาฮินดูก็ตาม  ในระหว่างการครองราชในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 วัดตามแบบศาสนาพุทธนั้นก็ได้มีการสร้างขึ้นในจำนวนที่เท่าเทียมกัน




 Angkor Archeological Park - Flight of the Gibbon
      
    ซากปรักหักพังของมหานครอังกอร์ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าไม้และพื้นที่ทำการเกษตรโดยตั้งอยู่ทางตอนเหนือของ Great Lake (Tonle Sap) ทางตอนใต้ของเทือกเขา Kulen ซึ่งปัจจุบันคือเสียมเรียบ (13 24’ N, 103 51’E) ในรัฐเสียมเรียบ




ใบหน้าที่ตั้งตระหง่านอยู่บนปราสาทบายน
เป็นเทพเจ้าในศาสนาฮินดู สังเกตให้ดีจะมีรอยยิ้ม เรียกว่า ยิ้มแบบบายน





















วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

วิถีชีวิตประเพณีประเทศลาว....

 

 วิถีชีวิตประเพณีประเทศลาว

          คน ประเทศลาวยังคงยึดถือและปฎิบัติตามขนบประเพณีที่สืบทอดต่อๆกันมา วิถีชีวิตของคนลาววันนี้เรายังคงเป็นวิถีชีวิตแบบเดิมๆเหมือนในอดีตอยู่ ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสโลกมากนัก

                                          


   คนลาวเป็นผู้ที่มีอัธยาศัยดี 
              น่ารัก พูดจาอ่อนหวานนิ่มนวล ซื่อสัตย์ จริงใจ 

ประเพณีประเทศลาว

        
       
     งานประเพณีต่างๆของชาวลาว นอกจากวิถีชีวิตความเป็นอยู่ และภาษาที่ไทย – ลาวมีความคล้ายคลึงกันแล้ว งานประเพณีต่างๆตลอดปีของลาวก็ดูไม่ต่างจากชาวไทยในภาคอีสานนัก เกือบทั้งหมดเป็นงานประเพณีที่เกี่ยวเนื่องกับพุทธศาสนา
เรียกกันว่า ฮีตสิบสอง


ฮีต หมายถึง จารีต
  สิบสอง หมายถึง เดือนทั้ง 12 เดือนในรอบหนึ่งปี
  ชาวหลวงพระบางมีงานประเพณีครบทั้งสิบสองเดือนในหนึ่งปี
 
เดือนอ้าย : บุญเข้ากรรม 

        

                                                        ช่วงที่จัด : เดือนธันวาคม ซึ่งอยู่ในช่วงฤดูหนาว
ลักษณะงาน : จุดประสงค์ของงานนี้เพื่อให้พระภิกษุ เข้าพิธีกรรมปลงอาบัติด้วยการอยู่ในเขตที่จำกัด เพื่อชำระจิตใจให้สะอาด
 

เดือนยี่ : บุญคูณลาน

                                                                    ช่วงที่จัด : หลังฤดูเก็บเกี่ยว
ลักษณะงาน : ก่อนที่จะนำข้าวที่นวดแล้วไปเก็บในยุ้งข้าว จะมีการทำบุญขวัญข้าว มีการนิมนต์พระภิกษุมาสวดเป็นสิริมงคล และเป็นนิมิตรหมายที่ดีให้ปีต่อๆไปทำนาเกิดผลดียิ่งๆขึ้น
 

เดือนสาม : บุญข้าวจี่
 
                        
                                                                    ช่วงที่จัด : หลังงานมาฆะบูชา
 ลักษณะงาน : ชาวนาจะนำข้าวจี่หรือข้าวเหนียวที่นึ่งสุกแล้ว ปั้นเป็นก้อนเท่าไข่เป็ดทาเกลือ นำไปเสียบไม้ย่าง จากนั้นตีไข่ทาให้ทั่วแล้วย่างจนไข่สุกและถอดไม่เสียบออกนำน้ำตาลอ้อยยัดลง ตรงกลางเป็นไส้ นำถวายพระสงฆ์ในช่วงที่หมดฤดูทำนาแล้ว เพื่อเป็นการทำบุญ  
  
 เดือนสี่ : บุญพระเวส
 
                                           
                                                     ช่วงที่จัด : เดือนสี่ข้างขึ้นหรือข้างแรมก็ได้
ลักษณะงาน : งานบุญพระเวสหรืองานบุญมหาชาติ เช่นเดียวกับงานฟังเทศพระเวสสันดรชาดก อันเป็นชาดกที่ยิ่งใหญ่ ชาวบ้านจะช่วยกันตกแต่งประดับประดาโรงธรรมด้วยดอกไม้ ใช้ดอกบัวประดับธรรมมาสน์ มีการจัดรูปขบวนแห่พระเวสสันดรและนางมัทรีออกจากป่าเข้าในเมืองไปสิ้นสุดที่ พระอุโบสถ มีการเทศน์มหาเวสสันดรตลอดวัน  

เดือนห้า : บุญสงกรานต์

 

                                                                   ช่วงที่จัด : ตรุษสงกรานต์
ลักษณะงาน : นับเป็นงานที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวมากที่สุดและยังถือเป็นวันปี ใหม่ของลาวเช่นเดียวกับของไทย
            วันแรกของงานเรียกว่า “วันสงขารล่อง” ชาวหลวงพระบางจะไปจับจ่ายซื้อของและธงรูปพระพุทธเจ้า เพื่อไปปักกองเจดีย์ทรายริมแม่น้ำโขง ตกเย็นมีการลอยกระทง ภายในกระทงบรรจุกล้วย ขิง ข้าวดำ ข้าวแดง ดอกไม้ ใบพลู ธูป เทียน ดอกดาวเรือง ผมและเล็บของผู้ลอย อธิษฐานให้ทุกข์โศกโรคภัยลอยไปกับกระทง
          วันที่สอง เรียกว่า “วันเนา” ช่วงเช้ามีการแห่รูปหุ่นเชิดปู่เยอย่าเยอและสิงห์แก้ว สิงห์คำ ช่วงบ่ายขบวนแห่ซึ่งนำโดยปู่เยอย่าเยอ ผู้เฒ่าผู้แก่ หัวหน้าหมู่บ้านแต่ละหมู่บ้าน ขบวนพระสงฆ์ นางสงกรานต์ (นางวอ) ขี่สัตว์พาหนะบนรถแห่ ปู่เยอย่าเยอก็จะฟ้อนรำ อวยพระให้ลูกหลาน
             วันที่สาม เรียกว่า “วันสังขารขึ้น” ชาวหลวงพระบางทำข้าวเหนียวนึ่งและนมลูกกวาด พากันเดินขึ้นภูษี ภูเขาสูงกลางเมืองหลวงพระบาง ระหว่างเดินจะวางข้าวเหนียวและขนมไว้ตามหัวเสาบันไดจนถึงองค์พระธาตุ วิธีการนี้เรียกว่าเป็นการตักบาตรภูษี มีการโยนข้าวเหนียวลงป่าข้างองค์พระธาตุเป็นการให้ทาน ช่วงบ่ายมีขบวนแห่นางสังขารและอัญเชิญศีรษะท้าวกบิลพรหมจากวัดเชียงทองไปยัง วัดวิชุน มีการสรงน้ำพระที่วัดวิชุน
             วันที่สี่ นับเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งมีการแห่พระบาง พระพุทธรูปคู่เมืองหลวงพระบาง ปีหนึ่งจะอัญเชิญออกมาให้ชาวเมืองสรงน้ำ พระบางนี้จะประดิษฐานอยู่ที่วัดใหม่เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน จากนั้นจะอัญเชิญกลับหอพิพิธภัณฑ์เหมือนเดิม
   

เดือนหก : บุญบั้งไฟ

 
ช่วงที่จัด : เดือนหกก่อนฤดูกาลทำนามาถึง ย่างเข้าฤดูฝน
ลักษณะงาน : คล้ายกับงานบุญบั้งไฟของภาคอีสาน จุดประสงค์เพื่อบูชาหลักเมือง และขอให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ปีใดที่ไม่มีการทำบุญบั้งไฟเชื่อว่าปีนั้นจะเกิดเภทภัยต่างๆ และเป็นสัญญาณว่าฤดูการทำนาจะเริ่มต้นแล้ว นับเป็นงานที่กระทำกันมาแต่โบราณ  

เดือนเจ็ด : บุญซำฮะ
                     
                                                                                      
                                                                                     ช่วงที่จัด : เดือนเจ็ด
ลักษณะงาน : งานเล็กๆ แต่สำคัญ จุดประสงค์เพื่อเป็นการชำระล้างเสนียดจัญไร ที่จะเกิดกับบ้านเมือง เพื่อให้บ้านเมืองมีความสงบสุข
 

เดือนแปด : บุญเข้าพรรษา                                  

                                                           ช่วงที่จัด : วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8
ลักษณะงาน : เป็นการเริ่มต้นฤดูเข้าพรรษาเหมือนชาวไทย พระสงฆ์จะหยุดออกบิณฑบาตรเป็นเวลา 3 เดือนตามพุทธบัญญัติ นับแต่วันเข้าพรรษาเป็นต้นไปในวันแรกนี้จะมีการทำบุญกันที่วัดต่างๆ
 

เดือนเก้า : บุญห่อข้าวประดับดิน การส่วงเฮือ การล่องเฮือไฟ 
                       
  

                                                           ช่วงที่จัด : เดือนเก้า
ลักษณะงาน : บุญห่อข้าวประดับดิน เป็นการทำพิธีกรรมอุทิศส่วนกุศลให้กับวิญาณบรรพบุรุษ และวิญญาณไร้ญาติให้ออกมารับส่วนบุญ ชาวบ้านจะนำอาหารหวานคาว บุหรี่ หมาก พลู ใส่ลงในกรวยใบตองไปวางตามพื้นดินหรือใต้ต้นไม้บริเวณรั้วบ้าน รั้ววัด
                       การส่วงเฮือ
                               ส่วง หมายถึง แข่งขัน
                               เฮือ หมายถึง เรือ
             เป็นงานบุญแข่งเรือประจำเดือนเก้า ทุกคุ้ม (หมู่บ้าน) จะนำเรือเข้าแข่งขัน ในอดีตการแข่งเรือถือเป็นการฝึกซ้อมฝีพายเพื่อต่อสู้ข้าศึกที่มาทางน้ำ ปัจจุบันนับเป็นงานบุญที่สนุกสนานงานหนึ่งของชาวหลวงพระบาง  

เดือนสิบ : บุญข้าวสาก

                                

                                                     ช่วงที่จัด : วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10
ลักษณะงาน : จุดประสงค์ของการจัดงานเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้คนตายหรือเปรต ห่างจากงานวันบุญข้าวประดับดิน 15 วัน อันเป็นเวลาที่เปรตต้องกับไปยังที่อยู่ของตน  

เดือนสิบเอ็ด : บุญออกพรรษา
                    

                                                          ช่วงที่จัด : วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11
ลักษณะงาน : เป็นงานตักบาตรเทโว มีการจัดอาหารไปถวายพระภิกษุสามเณร มีการกวนข้าวทิพย์ (กระยาสารท) ถวาย มีการถวายผ้าจำนำพรรษาและปราสาทผึ้ง โดยการนำไม้ไผ่มาสานเป็นรูปปราสาท ตกแต่งสวยงาม จัดขบวนแห่ปราสาทผึ้งไปถวายพระในตอนค่ำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ
 

เดือนสิบสอง : บุญกฐิน
                 

                                      ช่วงที่จัด : แรม 1 ค่ำ เดือน 11 – เดือนเพ็ญ เดือน 12
ลักษณะงาน : เป็นการถวายผ้าแด่พระสงฆ์ที่จำพรรษามาตลอดช่วงเข้าพรรษา นับเป็นงานบุญที่กระทำกันมาแต่โบราณ



         นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปร่วมเทศกาลต่างๆ มีข้อควรระวังเรื่องการถ่ายรูป คือ ควรขออนุญาตผู้เกี่ยวข้องก่อน โดยเฉพาะชาวเขามักไม่ชอบให้ใครถ่ายรูป ควรแสดงความเคารพและสำรวมขณะถ่ายรูปคนที่กำลังสวดมนต์ ฟังเทศน์ หรือฟังธรรม และ ห้ามถ่ายรูปในสถานที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทัพและทหารโดยเด็ดขาด .....


 




 



วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

798 อาร์ตโซน : เสพงานศิลป์ กลางมหานครปักกิ่ง


                 798 Art Zone อาจไม่เป็นที่รู้จักนักเทียบกับแหล่งศิลปะทั่วโลก แต่ก็เป็นเมืองศิลปะเมืองหนึ่ง ที่จรรโลงจิตใจ และน่าสนใจจนเราไม่อาจพลาดได้
                 798 Art Zone เป็นชุมชนศิลปินขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงแห่งชาติจีน ที่อยู่ใจกลางมหานครปักกิ่ง ประเทศจีน ตั้งอยู่บนพื้นที่ของโรงงาน 798 ในเขตอุตสาหกรรม Dashanzi มณฑลเฉาหยาง ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงปักกิ่ง ที่นี่เป็นสถานที่ซึ่งศิลปินกลุ่มหนึ่ง ได้ตัดสินใจเลือกใช้เป็นที่ทำงานของตน เดิมโรงงาน 798 แห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ ของทหาร


                   หลังจากที่โรงงาน 798 แปรเปลี่ยนมาเป็นชุมชนศิลปะแล้ว ศิลปิน สถาปนิก นักออกแบบตกแต่ง และกลุ่มวัฒนธรรมหลายกลุ่ม ได้ทยอยกันเข้าเช่าพื้นที่ เพื่อจัดแสดงนิทรรศการ ศูนย์ศิลปะ ห้องปฏิบัตการศิลปะ บริษัทออกแบบ ภัตตาคาร รวมทั้งบาร์ด้วย เนื่องจากรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบ Bauhaus ซึ่งมีพื้นที่โล่ง และชัยภูมิที่ตั้งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกรุงปักกิ่งนั่นเอง


                   ในวันนี้ 798 Art District กลายมาเป็น ชื่อของชุมชนศิลปะที่มีผู้คนจากทุกสารทิศมาเยี่ยมชม การได้เดินชม 798 Art District ทั้งในส่วนที่เป็นโรงงาน และเรือนแถว กลายเป็นความเพลิดเพลินของผู้มาเยี่ยมชม เนื่องจากมีเรื่องราว และสิ่งต่างๆ ที่น่าสนใจ ไม่เว้นแม้แต่ตามซอกเล็กซอกน้อย หรือแม้แต่ในวันที่สายฝนโปรยปราย ด้วยเพราะอาณาบริเวณที่ยิ่งใหญ่ของชุมชนศิลปะแห่งนี้ อันประกอบไปด้วยห้องจัดแสดงงานศิลปะที่น่าสนใจ ร้านค้าเล็กๆ ขายของที่ระลึกมากมาย ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ซึ่งล้วนแล้วแต่ดูดีมีเอกลักษณ์แทบทุกแห่ง


                     ใน 798 Art Zone ประกอบไปด้วยพื้นที่หลายส่วน ซึ่งส่วนที่น่าสนใจก็เช่นแกลเลอรี “Pace Beijing” อยู่ในอาคารที่ออกแบบตามสไตล์ Bauhaus โดยสถาปนิกชาวเยอรมัน หลังคาของอาคารมีลักษณะโค้งแบบฟันปลาซึ่งหาดูได้ยากแม้แต่ในประเทศเยอรมนี เองก็ตาม ภายในอาคารมีพื้นที่จัดแสดงศิลปะขนาด 1,000 ตารางเมตร นอกจากนั้นยังมีพื้นที่อีก 200 ตารางเมตรเป็นห้องนั่งเล่นที่รองรับผู้คนได้ถึง 60 คน ส่วนพื้นที่ที่เหลือเป็นร้านอาหารอิตาเลียนและร้านขายหนังสือศิลปะค่ะ


                      อาคารนี้ ใช้ในการจัดกิจกรรมหลากหลายประเภท ทั้งนิทรรศการศิลปะร่วมสมัย งานแสดงมัลติมีเดีย จัดคอนเสิร์ต จัดนิทรรศการเฟอร์นิเจอร์ ไปจนถึงกิจกรรมเชิงพาณิชย์ระดับหรู เช่น จัดแฟชั่นโชว์เปิดตัวสินค้าแบรนด์เนม จัดแถลงข่าวงานประชุม งานแสดงสินค้าและบริการของบริษัทต่างๆ อีกด้วย
                   อีกส่วนหนึ่งที่น่าสนใจคือ 长征空间 หรือ Long March Space ที่นี่เป็นสถานที่จัดแสดงผลงานทัศนศิลป์ จัดการบรรยายและการประชุม ชื่อของศูนย์จัดแสดงนี้มาจากคำว่า Long March หรือ การเดินทัพทางไกลของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งในที่นี้ใช้ในเชิงเปรียบเทียบ เพื่อสื่อให้เห็นว่าศิลปินของที่นี่เน้นการนำเสนอศิลปะเพื่อสะท้อนประเด็น สังคม และเน้นความหมายในแง่ประวัติศาสตร์ของผลงาน


                       นอกจากนี้ ยังมีร้านค้าและร้านอาหารอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น บริษัทออกแบบสินค้า ร้านอาหารเสฉวน Lord of Salt ร้านอาหารฝรั่งเศส Vincent Café และร้านกาแฟ At Café ค่ะ
ด้วยความเก๋ไก๋ และฮิปสุดๆ ของที่นี่ 798 Art Zone ได้พัฒนาตัวเองขึ้นมามีชื่อเสียงอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เปิดตัวในปี 2002 ตัวอย่างของความสำเร็จเหล่านี้ก็เช่น การจัด “เทศกาลศิลปะนานาชาติต้าซานจื่อ” ในปี 2004 และปี 2005 โดยเทศกาลนี้จัดปีละประมาณ 1 เดือน และได้ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาถึง 160,000 คน ภายในช่วงเวลาดังกล่าว จากการสำรวจพบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวที่มา 798 เหล่านี้ 60% เป็นชาวจีน และอีก 40% เป็นชาวต่างชาติค่ะ ในกลุ่มชาวต่างชาตินั้น มีบางคนเป็นตัวแทนศิลปินที่มาจากเมืองใหญ่อย่าง ปารีส และบางคนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงของแต่ละประเทศ เช่น นายกรัฐมนตรีประเทศสวีเดน เจ้าหญิงจากประเทศเบลเยียม ภริยานายกรัฐมนตรีประเทศฝรั่งเศส เป็นต้น
                       นอกจากนี้แล้ว 798 ยังทำให้ชื่อเสียงของกรุงปักกิ่งขยายไปไกลมากขึ้นทั่วโลก ในปี 2003 นิตยสาร Times ยกย่องให้กรุงปักกิ่งเป็นหนึ่งใน 22 เมืองศูนย์กลางทางศิลปะ และในปี 2004 นิตยสาร Fortune ได้ยกย่องให้กรุงปักกิ่งเป็นหนึ่งใน 20 เมืองที่มีศักยภาพในการพัฒนามากที่สุดของโลก โดยที่ 798 เป็นปัจจัยหลักในการนำไปพิจารณาตำแหน่งเหล่านี้ทั้งนั้นค่ะ


                          จะเห็นได้ว่า กรุงปักกิ่งนั้นนอกจากจะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่แสดงถึงศิลปะวัฒนธรรมโบราณ แล้ว ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทันสมัยที่สามารถตอบรับความต้องการอันหลากหลายของนัก ท่องเที่ยวเช่นกัน
ถือเป็นเสน่ห์ในอีกแบบของกรุงปักกิ่ง ที่ให้คุณได้เสพศิลป์ กันให้เต็มอิ่ม..

Cr:J.JI

วันพุธที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

สบายดีเวียงจันทน์


สบายดีเวียงจันทน์ 

ทริปเวียงจันทน์แบบง่ายๆ ไปเองได้แบบสบาย


       เวียงจันทน์ เป็นเมืองท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมมากมายที่น่าสนใจ และเป็นเป้าหมายใหม่ของนักเดินทางหลายคนด้วย  เมื่อก่อนอาจจะดูยุ่งยากไปนิดในการเดินทาง แต่เดี๋ยวนี้ต่างจากเมื่อก่อนมากค  การไปเที่ยวที่นครหลวงเวียงจันทน์ ประเทศลาวนั้นดูเหมือนจะง่าย จนไม่รู้จะว่ายังไง

Vientiane is a city full of cultural interest. And a new target of Many travelers also. As before, can be tricky bit of travel. But now different from the previous one. A visit to Vientiane It seems simple Laos I know people say

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEikJYJepeGXW9YcH_pcCFDhyPzRk_1Z-82WjRnh_yd8tlHqS9ADpsA9zaaZZ_H9BDr5jHY5yipcfRgP4CXZ15Ta4R_t4zPDwNmkmC-ULluTMfMLWUOgn1i8973SllzUYQX0zlpXNVXfAb4I/s1600/%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A7.jpg 

 ..เวียงจันทน์...


          ไม่ว่าเพื่อนๆนักเที่ยวจะอยู่ส่วนไหนของประเทศไทย  แต่การเดินทางท่องเที่ยวเมืองเวียงจันทน์นั้น  เริ่มต้นกันที่หนองคายครับ เราจะข้ามสะพานมิตรภาพไทยลาวไปเวียงจันทน์ที่นี่ครับ “เมืองหนองคาย”

         เมื่อมาถึงหนองคายกันแล้ว แนะนำให้ไปทำบัตรผ่านแดนที่ศูนย์ OTOP ตรงข้ามโรงเรียนปทุมเทพฯ ครับ หรือจะไปทำที่ว่าการอำเภอฯ ก็ได้ (ค่าทำบัตรผ่านแดน 40 บาท) แต่ถ้าไม่อยากไปทำเองก็จะมีบริษัททัวร์ให้บริการรับทำบัตรผ่านแดนให้ครับ แต่ราคาก็จะสูงขึ้นมาหน่อย (ประมาณ 150-200) เขาจะบวกค่าบริการเพิ่มนั่นเอง บัตรผ่านแดนอยู่ได้ 3 วัน 2  คืน ครับ และห้ามออกนอกนครเวียงจันทน์
When it comes to Nong Khai each Recommended to make a pass card that OTOP Center opposite Patumthep the post or go to the District's it (the card through the 40 baht), but I did not want to do it with a tour company to do. I pass card to But the price is a little higher (about 150-200), he is positively charged enough. Pass card is a 3 days 2 nights here and not outside Vientiane.
  
      เมื่อได้เอกสารเรียบร้อยแล้ว ก็ไปที่ด่าน ยื่นบัตรผ่านแดนให้เจ้าหน้าที่เค้าประทับตรา (ใช้บัตรผ่านแดนไม่ต้องกรอกเอกสารอะไรเพิ่มแนะนำให้ใช้บัตรผ่านแดน  เพราะสะดวกกว่า  ถ้าจะไปเที่ยวเฉพาะเวียงจันทน์เท่านั้น  เมื่อเจ้าหน้าที่เขาประทับตราเรียบร้อยแล้วก็ซื้อตั๋วรถข้ามสะพานไปด่านลาวครับ 
พอดำเนินการฝั่งลาวเสร็จก็ออกมาหารถไปเวียงจันทน์เลยครับ
Once the documents have already been submitted to the authorities his pass card stamped. (Pass card does not have to fill out any paperwork to recommend a pass card. Because it is more convenient If I want to only Vientiane only. He stamped on staff already bought tickets cars across the bridge to Laos border it. 

When the car is finished in Laos to Vientiane here.

พระธาตุหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว

สปป.ลาว

          พระธาตุหลวง แห่งนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า  พระเจดีย์โลกะจุฬามณี  เป็นปูชนียสถานอันสำคัญยิ่งแห่งนครหลวงเวียงจันทน์เลยก็ว่าได้  เป็นศูนย์รวมใจของประชาชนชาวลาวทั่วประเทศนั่นเองครับ  เพื่อนๆจะเชื่อไหมครับว่าพระธาตุแห่งนี้มีตำนานกล่าวมาว่า พระธาตุหลวงนี้นั้นมีประวัติการก่อสร้างมานับพันปีเช่นเดียวกันพระธาตุพนมใน ประเทศไทย และปรากฏความเกี่ยวพันกันทางประวัติศาสตร์ของดินแดนทางฝั่งขวาแม่น้ำ โขงอย่างแยกไม่ออก  

   

               พระธาตุหลวงเวียงจันน์ นั้นเป็นพระธาตุใหญ่ที่มีความสวยงามที่สุดในสปป.ลาว สร้างโดยช่างโบราณของลาว มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรมรวมถึงเป็นตัวแทนของสถาปัตยกรรมของลาว ล้านช้าง ด้านหน้านั้นมีอนุสาวรีย์พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ประดิษฐานอยู่ ส่วนองค์พระธาตุหลวงนั้นมีสีเหลืองอร่ามดุจทองที่ปรากฏอยู่ด้านหลัง อนุสาวรีย์นั้นนั่นเอง เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ในแต่ละปีจะมีงานนมัสการพระธาตุหลวงที่ยิ่งใหญ่ในคืนเพ็ญเดือน 12 ถือเป็นงานทียิ่งใหญ่ระดับชาติ ที่นักเดินทางอย่างเราๆนั้นไม่ควรพลาดที่จะไปเก็บภาพสวยๆพร้อมกับนมัสการพระ ธาตุหลวงเอาบุญกันด้วย


Pha That Luang has another name called . I Chulamani Lo Pagoda Sanctuary is more important in Vientiane that has it . Zero efforts of the people of Laos, the country itself. I like to believe that the element of the legend says that. Pha That Luang is the construction of a history of thousands of years as Phra That Phanom in Thailand and the historical relevance of the territory on the right bank of the river. Mekong is indistinguishable   

               Pha That Luang Vientiane Hotel That is the most beautiful in the PDR. Laos. Built by the ancient Lao Historic art, culture and architecture representing the Lao Lan Xang front is a monument to God Setthathirath . enshrined The Lord That Luang is a glowing yellow gold as it appears in the background. The monument itself is The relics Each year there is a grand worship Phra That Luang in the full moon night of the twelfth month, which is a big state. The trip as we should not miss to keep pictures along with worship . I put together Luang.

 

           ประตูชัย เวียงจันทน์ ประเทศลาว

เวียงจันทน์          อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยว  เมื่อเพื่อนๆเดินทางมาถึงนครหลวงเวียงจันทน์สปป.ลาว  นั้น  จัดว่าอยู่ในทริปของการท่องเที่ยวหลักๆของเวียงจันทน์กันเลยก็ว่าได้ครับ  เพราะเมื่อเพื่อนๆเดินทางเข้าไปนมัสการ พระธาตุหลวงเวียงจันทน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว  สถานที่ต่อไปคงเป็นที่ไหนไม่ได้เลยนอกจาก  “ประตูไซ” หรือ ประตูชัย  

        สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ ของชาวลาวแห่งนี้  สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถาน เพื่อระลึกถึงประชาชนชาวลาวผู้ที่เสียสละชีวิต ในสงครามก่อนหน้าการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์นั่นเองครับ  

Major attractions This of Laos Built as a memorial To commemorate the people who sacrificed their lives in Laos. In the war before the communist revolution there.

       ประตูชัยแห่งนี้ สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2512  ครับ  เรียกได้ว่าความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้ยาวนานมากๆเลยครับ  ก็อย่างที่บอกว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถาน  ประตูชัยนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “รันเวย์แนวตั้ง” ครับ นั่นก็เพราะว่า การก่อสร้างประตูชัยแห่งนี้นั้น ใช้ปูนที่อเมริกาซื้อมาเพื่อนำมาสร้างสนามบินใหม่ในนครเวียงจันทน์ในระหว่าง สงครามอินโดจีนนั่นเอง แต่ก็ไม่ทันได้สร้างเลยก็เกิดแพ้สงครามในอินโดจีนเสียก่อน จึงมีการนำปูนซีเมนต์มาสร้างประตูชัยแทน

 

ลาว  เวียงจันทน์              ความสวยงามของประตูชัยนั้นมีอยู่ที่ ลักษณะสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลมาจากประตูชัยในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส นั่นเอง  ถ้าเพื่อนเปรียบเทียบกันดูจะเห็นว่ามีส่วนที่คล้ายคลึงกันมาก แต่ลักษณะสถาปัตยกรรมนั้นก็ยังมีเอกลักษณ์ของลาวปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปศิลปะลาว ภาพเรื่องราวมหากาพย์รามายณะ แบบปูนปั้นใต้ซุ้มประตูโค้งของประตูชัย บันไดวนให้ขึ้นไปชมทิวทัศน์ของนครเวียงจันทน์  และถ้าเพื่อนๆเดินขึ้นไป ตลอดบันไดวนของประตูชัยจะแบ่งออกเป็นชั้นๆ ซึ่งแต่ละชั้นนั้นก็จะมีร้านจำหน่ายของที่ระลึก เปิดให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นชมวิวทิวทัศน์ทุกวัน และในตอนเย็นจะมีประชาชนชาวลาว มาออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมร่วมกันที่นี่ด้วย

 

 เที่ยวลาว หอพระแก้ว 

        หอพระแก้ว เวียงจันทร์  ที่ "อดีตเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต" สถานที่แห่งนี้เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก  หอพระแก้วนั้นคือ สถานที่ที่เคยประดิษฐาน พระแก้วมรกต หรือ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ตั้งอยู่ที่นครหลวงเวียงจันทน์ ประเทศลาว นั่นเองครับ แต่ปัจจุบันนี้เหลือเพียงพระแท่นที่ประดิษฐานเท่านั้น เพราะพระแก้วมรกตองค์ปัจจุบันนั้น ได้ถูกอัญเชิญลงมาประทับที่กรุงเทพมหานคร ประเทศไทยเรานั่นเอง 


         

        ในช่วงสมัยของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โดยสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เป็นผู้อัญเชิญ ถึงพระแก้วมรกตจะไม่ได้ประดิษฐานอยู่ที่นี่  แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความศรัทธาของชาวลาวลดน้อยลงแต่กลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ           

 

 

 

 

        ความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่ท่องเที่ยวทางศาสนาแห่งนี้ได้แผ่คลุมทั่วบริเวณอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อมองดูพระวิหารที่ดำทะมึน อยู่ท่ามกลางแมกไม้ ความเก่าแก่ พร้อมสถาปัตยกรรมโบราณแต่ครั้งอดีตกาล และเมื่อเพื่อนๆได้เหยียบเข้าไปสู่ลานรอบบริเวณอันเป็นสถานที่เคยประดิษฐาน พระมหามณีรัตนปฏิมากรด้วยแล้วนั้น อยากบอกว่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูกเลยครับ มันเป็นความรู้สึกที่ยากเกินอธิบายของสถานที่แห่งนี้  และยังมีนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวยังนครเวียงจันทน์ ก็นิยมเดินทางมาสักการะบูชาที่หอระแก้วนี้กันเป็นจำนวนมาก 

 

วัดศรีสะเกศ วัดที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองเวียงจันทน์

      วัดศรีสะเกศ แห่งนี้นั้นได้มีการสร้างขึ้นใน ค.ศ.1818 ก็อย่างที่บอกครับว่าเป็นวัดที่เก่าแก่และเป็นเพียงวัดเดียวในลาวเท่า นั้น ที่ไม่ถูกสยามหรือประเทศไทยเราเผาเอานั่นเอง ตรงกลางของวัดศรีสะเกศนั้นจะเป็นโบสถ์ล้อมรอบด้วยระเบียงคต มีความสวยงาม สร้างแบบศิลปะรัตนโกสินทร์ตอนต้นหรือแบบล้านช้าง 

         ในวัดศรีสะเกศแห่งนี้นั้นได้มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ 6840 องค์  วัดแห่งนี้มีชื่ออย่างเต็มๆ ว่า "วัดศีรษะเกศสตสหัสสาราม" แต่ชาวบ้านนิยมเรียกกันว่าวัดศรีสะเกศ นั้นก็เนื่องมาจากกล่าวกันมาว่า ยามพระเจ้าอนุวงศ์บรรทมอยู่ในพระราชวังนั้น จะต้องหันพระเศียรมายังทิศที่ตั้งของวัดนี้เสมอ

       สำหรับการท่องเที่ยวในครั้งนี้นั้น  เมื่อเพื่อนๆนักเที่ยวเดินทางมาที่นี้นั้นก็มีสิ่งที่น่าชมในวัด อย่างเช่น หอไตร ซึ่งจะยกคอสองเป็นชั้นคล้ายวัดไทยใหญ่หรือวัดพม่า แต่คัมภีร์ถูกกองทัพสยามนั้นอัญเชิญไปไว้ยังกรุงเทพฯ หมดแล้ว ส่วนผนังด้านในของพระระเบียงที่ล้อมรอบพระอุโบสถเอาไว้นั้น มีการเจาะซุ้มเล็กๆ ขึ้นสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปเงินและพระพุทธรูปดินเผา  ส่วนใหญ่นั้นจะเป็นพระที่สร้างขึ้นที่นครเวียงจันทน์ในช่วงศตวรรษที่ 16 ถึง 19 นั่นเอง ระเบียงด้านตะวันตกนั้นก็เป็นที่เก็บรวบรวมเศษชิ้นส่วนพระพุทธรูปที่ถูก ทำลายลงในสงครามปี 1828 ส่วนด้านหลังพระอุโบสถนั้นมีรางไม้รูปคล้ายพญานาคสองตัว เพื่อใช้เป็นรางสำหรับสรงน้ำพระในเทศกาลสงกรานต์โดยเฉพาะนั่นเองครับ ปัจจุบัน วัดศรีสะเกศเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชของลาว เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวในนครหลวงเวียงจันทน์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์มากๆอีกที่ ที่เรานำมาฝาก

 

“วัดศรีเมือง” วัดแห่งโชคลาภ

          “วัดศรีเมือง”  ที่นักแสวงโชคยกให้เป็นวัดแห่งโชคลาภ เป็นสถานที่ตั้งของเสาหลักเมืองประจำนครเวียงจันทน์นั่น เอง สำหรับสถานที่แห่งนี้นั้นไม่รวมนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาสักการะ บูชา ประชาชนลาวเองนั้นต่างก็เดินทางไปสักการบูชาเป็นจำนวนไม่น้อยเลยในแต่ละวันศักดิ์สิทธิ์หรือไม่  อย่าให้เพื่อนๆฟังความเป็นมานี้กันครับ วัดศรีเมืองสร้างขึ้นในปีพ.ศ.2106 และหลังจากถูกกองทัพสยามทำลายลงในปีพ.ศ.2371 ก็ได้มีการสร้างวัดศรีเมืองขึ้นมาใหม่ในปี พ.ศ.2458  ภายในวัดศรีเมืองนั้นมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่มากมาย โดยเฉพาะพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์และความเก่าแก่ พระพุทธรูปองค์นี้ได้ชำรุดไปบางส่วน ซึ่งชาวลาวนั้นเชื่อกันว่าพระพุทธรูปองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก


                

          สำหรับเพื่อนๆที่เดินทางมาที่นี้  บริเวณประตูทางเข้าวัด นั้นจะมีเต้นส์ที่พระคุณเจ้า จัดตั้งไว้เพื่อจัดวางอุปกรณ์ สิ่งที่จะนำไปกราบไหว้พระที่อยู่ภายในพระอุโบสถของวัดสีเมืองนั้น เรียกว่า ต้นเทียน  จะมีลักษณะเป็นแผ่นขี้ผึ้งบาง ๆ ทำเป็นดอกเหมือนดอกไม้ แต่ใช่เทียนไขปั้มใส่แบบ แกะออกมาเป็นดอก ๆ จากนั้นนำใส่ด้ามไม้ นำไปประดับที่ต้นกล้วยขนาดเล็กใหญ่ต่างกันไป ที่โคนต้นใส่ลงในกระป๋อง เพื่อเป็นฐานสำหรับวางตั้งไว้นั่นเองครับ

     

ธาตุดำ

       “ธาตุดำ” ธาตุดำองค์นี้ มีอายุย้อนไปในสมัยอาณาจักรล้านช้างตอนต้น มีตำนานพื้นบ้านเล่าต่อกันว่า ภายใต้องค์พระธาตุดำเป็นปากทางออกจากนครบาดาลของเหล่าพญานาคเจ็ดเศียรที่มา ช่วยเหลือประชาชนลาวในเวียงจันทน์เอาไว้จากการรุกรานของกองทัพสยาม

 

          "ลาว" เป็นประเทศที่เรียกได้ว่ามีมนต์เสน่ห์ของความสงบ เรียบง่ายครับ แถม ลาวเองก็ยังมีธรรมชาติท่ามกลางขุนเขาที่สวยงาม พร้อมทั้งยังอนุรักษ์วัฒนธรรมลาวให้คงไว้ได้อย่างน่าอิจฉาเลยทีเดียว เป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่าท่องเที่ยวมากๆ "ลาว" นั้นมีเมืองสวย ประชาชนน่ารัก และเพราะเป็นเมืองที่น่าท่องเที่ยวแบบนี้ นักเที่ยวอย่างเราๆท่านๆ เอง ยิ่งไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาดเลยครับ ไปสัมผัสวัฒนธรรมที่หาดูได้ยากพร้อมๆกันครับ 


สบายดี..เที่ยวให้สนุกกันเด้ออออออ