วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2558

6 วัน 7 คืน ซาปา – คุนหมิง

จาก เมืองเดียนเบียนฟูทีมงานขอพาท่านเดินทางต่อไปยังเมืองซาปา เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม เมืองที่ได้รับขนานนามว่า “หลังคาของอินโดจีน” ซึ่งเต็มไปด้วยเทือกเขาอันสลับซับซ้อน มีเมฆหมอกปกคลุมตลอดวันอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี บางปีได้ทราบข่าวว่าถึงกับมีหิมะตก โดยมียอดเขาฟานซีปันความสูง 3,143 เมตร เป็นยอดเขาที่มีความสูงที่สุดในอินโดจีนเป็นพระเอกตั้งเด่นเป็นสง่าท้าทาย บรรดานักผจญภัยและนักไต่เขาที่มักจะเดินทางมาพิชิตยอดเขาลูกนี้ นอกจากนี้แล้วซาปายังเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชาวเขาเผ่าต่างๆ ที่ดำรงชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย และตลาดขายรักประเพณีที่ชนกลุ่มน้อยสืบต่อกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ จากนั้นเราพาท่านเดินทางข้ามพรมแดน จีน-เวียดนามนั่งรถโดยสารทรมาณบันเทิงสู่เมืองคุนหมิงเที่ยวสวนหินโบราณอายุ หลายร้อยล้านปี ก่อนที่จะเดินทางกลับเมืองไทยทางด่านบ่อเต็น-บ่อหาน ชายแดนจีน-ลาวเดินทางเข้าสู่สปป.ลาว พักผ่อนท่องเที่ยวที่เมืองห้วยทรายก่อนที่จะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ถ้าอยากทราบว่าการเดินทางด้วยรถโดยสารท้องถิ่นของจีนและเวียดนาม เป็นอย่างไร อัตราค่าโดยสารเท่าใด ที่กินที่พักถูกหรือแพงขนาดไหน ขอเชิญคลิ๊กเข้ามาศึกษาหาข้อมูลกันได้เลยครับ
อ้อ.....อยากทราบราย ละเอียดนอกเหนือจากเรื่องราวในเวปไซด์ก็สามารถเข้าไปตั้งกระทู้ในเว็บบอรด์ ของเราได้นะครับ ทีมงานยินดีน้อมรับคำคำแนะนำติชมครับ
วันที่หนึ่งของการเดินทาง
จาก เดียนเบียนฟู สู่ ซาปา

อรุณ สวัสดิ์เดียนเบียนฟู หลังจากปฎิบัติภาระกิจส่วนตัวเสร็จสรรพจัดการเก็บสัมภาระเป็นที่เรียบร้อย แล้วจากนั้นเราทั้งสองคนสะพายเป้ออกเดินเท้ามุ่งหน้าสู่สถานีขนส่งเดียน เบียนฟูซึ่งตั้งอยู่ภายในตัวเมืองเดียนเบียนฟูห่างจากโรงแรมที่เราทั้งสอง พักระยะทางประมาณ หนึ่งกิโลเมตร


ระหว่าง ทางเราเดินเท้าผ่านบริเวณหน้าตลาดเดียนเบียนฟูซึ่งกำลังคับคั่งไปด้วยชาว เวียตนามและบรรดาชนเผ่าต่างๆนำสินค้ามาวางขายกันเต็มบริเวณหน้าตลาด สินค้าส่วนใหญ่จะเป็นจำพวกพืช ผัก ผลไม้


เรา ทั้งสองเดินข้ามสะพาน สวนทางกับบรรดาหญิงสาวชาวม้งซึ่งแต่งชุดประจำเผ่าสีสันสดใสคล้ายกับจะไปร่วม งานประเพณีของชาวม้งที่ไหนสักแห่ง และบนถนนเรียงรายไปด้วยหญิงสาวชาวไทดำที่สวมหมวกญวนขี่จักรยานซึ่งสองข้าง ของจักรยานของพวกเธอบรรทุกฟืนเต็มกระบุงทั้งสองข้างขี่จักรยานเรียงรายแถว ตอนเรียงหนึ่งช่างเป็นภาพที่สวยงามน่าชมเป็นอย่างยิ่ง ถนนหนทางในเมืองเดียนเบียนฟูการจราจรไม่คับคั่งเหมือนกับตามหัวเมืองใหญ่ๆใน เวียตนามเช่นฮานอยหรือโฮจิมินห์


เรา ทั้งสองเดินเท้ามาถึงสถานีขนส่งเดียนเบียนฟูซึ่งกำลังคับคั่งไปด้วยประชาชน ชาวเวียตนามที่มารอเข้าคิวซื้อตั๋วโดยสารเดินทางไปยังเมืองต่างๆ


เรา ทั้งสองคนเดินทางมาไม่ทันรถโดยสารใหญ่ที่เดินทางออกไปเมื่อเวลา 05.30 น จึงหันมาใช้บริการของรถตู้โดยสารค่าบริการคนละ 128,000โด่ง ตกประมาณ 350 บาท รถตู้นั่งได้ทั้งหมด 18 คนรวมคนขับ นั่งแถวละ 4คนยังไม่รวมสัมภาระของผู้โดยสารอีกยัดทะนานกันเหมือนปลากระป๋องตราสามแม่ ครัว ตัดสินใจกันว่าจะเดินทางไปกับรถเที่ยวต่อไปแต่พอไปยืนมองดูตารางการเดินรถ ที่หน้าสถานีแล้วให้มึนงงหนักเข้าไปใหญ่เพราะเป็นภาษาเวียตนามทั้งนั้นไม่ มีภาษาอังกฤษสักคำอ่านไม่รู้เรื่อง สอบถามพนักงานขายตั๋วก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้อีกยิ่งมึนงงหนักไปกันใหญ่ เลยจำเป็นต้องโดยสารไปกับรถตู้คันนี้


โชค ดีที่คนขับเห็นว่าเราทั้งสองคนตัวใหญ่จึงเห็นใจกรุณาให้เราทั้งสองคนนั่ง แถวละสามคนซึ่งถือว่าเป็นความโชคดีของเราไปแต่ ก็ยังโชคดีกว่านั่งรถสองแถวของเจ้เกียวในลาวทรมาณกว่าหลายเท่าก็ต้องขอบอก ผู้ที่มีความประสงค์จะเดินทางมาเดียนเบียนฟูบนเส้นทางสายนี้โดยรถเมล์ท้อง ถิ่นก็ขอให้เตรียมใจกันมาได้เลย ไอ้เรื่องความสะดวกสบายเหมือนนั่งรถทัวร์ในเมืองไทยนั้นไม่ต้องพูดถึง ถ้าเวลามีจำกัดลำบากนักไม่ค่อยจะได้แต่สตังค์มีเยอะก็ขอแนะนำให้ซื้อโปรมแก รมทัวร์จากบริษัททัวร์ เดินทางมาโดยเครื่องบินจะสะดวกสบายกว่าเดินทางมาอย่างทุลักทุเลลำบากบากลำบน ค่ำไหนนอนนั่นเฉกเช่นเดียวกับคนสตังค์น้อยอย่างเราทั้งสองคนแต่มีความดัน ทุรังสูง
06.30 น. จากนั้นรถตู้โดยสารก็พาเราทั้งสองคนเดินทางออกจากเมืองเดียนเบียนฟูไปตามถนน หมายเลข 12 เชื่อมต่อกับเมืองไลโจว ไปตามเส้นทางภูเขาอันคดเคี้ยววกวนและแม่น้ำดก หรือซ่งดาในภาษาเวียตนาม ซึ่งไหลลัดเลาะไปตามหลีบเขาใหญ่น้อยผ่านท้องไร่ท้องนาของชาวเขาเผ่าต่างๆ

และ เนื่องจากฤดูนี้อยู่ในช่วงของฤดูฝนบางช่วงของถนนเส้นนี้จึงเกิดปัญหาดินถล่ม ทับเส้นทางทำให้เราทั้งสองคนเสียเวลาในการเดินทางพอสมควร และด้วยระยะทาง103 กิโลเมตร จากเมืองเดียนเบียนฟูในที่สุดรถตู้ก็พาเราทั้งสองคนเดินทางมาถึง เมืองไลโจวแวะพักรถพร้อมรับประทานอาหารกลางวันเราทั้งสองหาอาหารกลางวันกัน แบบง่ายๆ และพอมีเวลาเหลืออีกนิดหน่อยเราทั้งสองจึงออกมายืนหน้าร้านอาหารเพื่อชม เมือง สำหรับเมืองไลโจว อดีตเคยเป็นเมืองประวัติศาตร์ของชนเผ่าไท ในอดีตเมื่อประมาณปี ค.ศ 1991 และ 1996 เมืองไลโจวเคยประสบปัญหาเกี่ยวกับอุทกภัยจากแม่น้ำดาไหลบ่าเข้าท่วมเมืองจน ทำให้เกิดความดสียหายอย่างหนัก จนประชาชนต้องอพยพขึ้นไปอยู่ตามไหล่เขาเป็นส่วนใหญ่ ทางรัฐบาลได้ทำการสร้างเขื่อนเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมทำให้เมืองไลโจวบางส่วน ต้องจมอยู่ใต้น้ำ จึงทำให้เมืองเอกประจำมณฑลต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองเดียนฟูแทนซึ่งการสูญเสีย เมืองไลโจวไปบางส่วนเท่ากับสูญเสียสัญลักษณ์ประวัติศาตร์อันรุ่งโรจน์ของชน เผ่าไทไปเพราะชาวไทลื้อซึ่งเป็นชนเผ่าไทพวกหนึ่งได้อพยพโยกย้ายถิ่นฐานมาจาก ประเทศจีนตอนใต้เมื่อประมาณ 300-400 ปีก่อนคริสกาล มาตั้งถิ่นฐานในหุบเขาเดียนเบียนฟูอยู่ถึงสามศตวรรษ ส่วนไทดำและไทขาวอพยพย้ายถิ่นบานมาอาศัยอยู่ทีหลังในราวศตวรรษที่ 11


ปัจจุบัน มีชาวไทลื้ออาศัยอยู่น้อยมากในเวียตนามแต่มีอาศัยอยู่จำนวนมากในประเทศลาว และในระหว่างสงครามครั้งสุดท้ายของฝรั่งเศสในเวียตนาม เมืองไลโจวเคยถูกใช้เป็นศูนย์บัญชาการของฝรั่งเศส ซึ่งปัจจุบันยังคงหลงเหลือร่องรอยของศูนย์บัญชาการให้เห็นอยู่ จากไลโจวเราทั้งสองออกเดินทางต่อไปยังเมืองซาปาดินแดนที่ได้รับสมญญานามว่า หลังคาของอินโดจีน บนเส้นทางถนนสายไลโจว- ซาปาเป็นเส้นทางถนนลาดยางดีกว่าเส้นทาง ถนนสาย เดียนเบียนฟู – ไลโจวมากแต่เส้นทางถนนก็ยังคดเคี้ยววกวนไปตามไหล่เขาเหมือนเช่นเดิมสำหรับ วิวทิวทัศน์สองข้างทางเต็มไปด้วยธรรมชาติอันสวยงามของผืนนาขั้นบันไดตลอดจน บ้านเรือนวิถีชีวิตของชนเผ่าต่างๆตลอดสองข้างทาง ซึ่งถือว่าเป็นกำไรชีวิตในการเดินทางมาโดยทางรถยนต์ แต่ถ้าเดินทางมาโดยเครื่องบินแล้วโอกาสที่จะได้เห็นและสัมผัสบรรยากาศแบบนี้ ได้ยากเต็มทน


ยิ่ง ใกล้เมืองซาปาเข้าไปมากเท่าใดวิวทิวทัศน์ก็ยิ่งสวยงามขึ้นเรื่อยๆ ความคดเคี้ยววกวนก็เพิ่มมากขึ้นไปด้วย ถ้านำมาเปรียบเทียบกับเส้นทางกระเหรี่ยงลอยฟ้าสู่อุ้มผางของเราแล้วเส้นทาง สู่อุ้มผางคดเคี้ยววกวนน้อยกว่ามาก เปรียบเทียบระยะทางจากเดียนเบียนฟูสู่ ซาปาเหมือนกับนั่งรถไป-กลับ แม่สอด-อุ้มผาง ในวันเดียวกันเรียกว่าพอลงจากรถก็ทำเอาเราทั้งสองคนเดินไม่เป็นไปตามๆกัน และในที่สุดเราทั้งสองคนก็เดินทางมาถึงเมืองซาปาเมื่อเวลาบ่ายคล้อยรวมระยะ ทางจากเมืองเดียนเบียนฟูมาซาปา เกือบ 300 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 8 ชั่วโมง รถตู้โดยสารแวะส่งเราทั้งสองคนลงที่บริเวณวงเวียนน้ำพุใจกลางเมืองซาปา ซึ่งเป็นเวลาเลิกเรียนของนักเรียนชั้นประถมซึ่งตั้งอยู่ตรงวงเวียนของเมือง พอดี


พอ ลงจากรถตู้โดยสารสัมผัสแรกที่เราได้รับก็คือสายหมอกที่ลอยละลิ่วพาละอองไอ น้ำพัดผ่านมาสัมผัสกับตัวเราทั้งสองคนสายฝนที่ตกลงมาปรอยๆ เราทั้งสองไม่รอช้าจัดแจงขนสัมภาระลงจากรถตู้โดยสาร จากนั้นมองข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามวงเวียนน้ำพุเห็นโรงแรมตั้งเรียงรายตลอด แนวจัดการขนสัมภาระข้ามถนนไปยังฝั่งตรงกันข้ามดีกว่า


โรงแรม man&toi hotelตรงข้ามวงเวียนน้ำพุคือสถานที่พักค้างแรมของเราในคืนนี้ห้องพักสะอาด พร้อมทีวีน้ำอุ่นเตียงสองเตียงราคาคืนละ 10-12 ดอลล่าร์ซึ่งเป็นราคาที่ไม่แพงเลยเมื่อพิจารณาด้วยสายตาและทำเลที่ตั้งของ โรงแรมที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง แถมเจ้าของโรงแรมก็ให้การต้อนรับเราทั้งสองคนด้วยอัธยาศัยไมตรีอย่างดียิ่ง จากนั้นจึงขนสัมภาระเข้าสู่ห้องพักปฎิบัติภาระกิจส่วนตัวเสร็จสรรพจากนั้น จึงออกมาจากโรงแรมหาอาหารค่ำรับประทานที่ร้านข้างๆโรงแรม


จาก นั้นจึงเดินเที่ยวชมชีวิตยามราตรีของซาปาในเวลาค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงสีจาก บาร์เบียร์ ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ตลอดจนชนเผ่าต่างๆที่เดินทอดน่องตื้อขายของแก่นักท่องเที่ยว


และ เนื่องจากเมืองซาปาเป็นเมืองเล็กๆเราทั้งสองคนจึงใช้เวลาไม่นานนักในการเดิน เที่ยวประกอบกับอากาศที่เริ่มหนาวเย็นลงเดินทางกลับข้าสู่โรงแรมที่พักกันดี กว่าเพื่อพักผ่อนเอาแรงไว้ในวันรุ่งขึ้น พรุ่งนี้เราจะเดินทางท่องเที่ยวในเมืองซาปากันครับ
“ราตรีสวัสดิ์ ซาปา”
วันที่สองของการเดินทาง
Citytour ใน ซาปา

Good morning sapa ตื่นเช้าท่ามกลางอากาศอันหนาวเย็นในเมืองซาปาโรงแรมทุกแห่งในเมืองนี้จึงไม่ จำเป็นต้องติดแอร์เพราะอากาศหนาวเย็นอยู่แล้วเราทั้งสองคนจึงต้องอาบน้ำด้วย น้ำอุ่นจากนั้นจึงลงมาหาอาหารเช้ารับประทานกันที่บริเวณชั้นล่างของโรงแรม


อาหาร เช้าของเราทั้งสองคนในมื้อนี้คงหนีไม่พ้น ABF ตบท้ายด้วยกาแฟเสือ(กาแฟร้อน)อีกคนละแก้วก่อนที่จะเดินทางขึ้นไปบนภูเขา ham rong mountain ภูเขาลูกเล็กๆในเมืองซาปาอันแป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของซาปาแต่ก่อนที่ จะเดินทางขึ้นไปท่องเที่ยวบนภูเขา เราทั้งสองขอเล่าเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆให้ท่านได้ฟังดังนี้
ซาปาเป็น เมืองท่องเที่ยวเล็กๆเมืองหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัด ล่าวกายทางตอนเหนือสุดของประเทศเวียตนามติดกับชายแดนประเทศจีนตั้งอยู่เหนือ ระดับน้ำทะเล 1,600 เมตร อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 15-18 องศาเซสเซียสซึ่งถือได้ว่าอากาศเย็นสบายตลอดปีช่วงเดือนมกราคมถึงเดือน กุมภาพันธุ์จะเป็นช่วงที่อากาศหนาวเย็นที่สุดบางปีถึงกับมีหิมะตก

ช่วง เวลาที่ดีที่สุดในการเดินทางมาท่องเที่ยวยังเมืองซาปาจะเริ่มตั้งแต่เดือน พฤศจิกายนถึงเดีอนพฤษภาคมจากนั้นก็จะเป็นช่วงฤดูฝนที่เมืองซาปาแห่งนี้ใน สมัยยุคอาณานิคม บรรดาข้าหลวงและเจ้านายชาวฝรั่งเศสหลงไหลในบรรยากาศและความสวยงามของเมืองซา ปามากจึงคิดที่จะสร้างเมืองซาปาแห่งนี้ให้เป็นเมืองตากอากาศสำหรับเจ้านาย ชาวฝรั่งเศสที่มาปกครองอินโดจีน วิลล่าอันสวยงามหลายหลังจึงถูกสร้างขึ้นตามไหล่เขาเพื่อรองรับการเดินทางมา พักผ่อนของเจ้านายชาวฝรั่งเศส ซาปาจึงเป็นเมืองตากอากาศทางภาคเหนือเช่นเดียวกันกับเมืองดาลัดทาง ภาคใต้ สำหรับชื่อ ซาปา เชื่อกันว่ามาจากภาษาเวียตนามผสมภาษาม้งซึ่งหมายถึง “ดินแดนที่มีเฆมหมอกปกคลุม”


อีก ทั้งยังเป็นดินแดนของชาวเขาเผ่าต่างๆจำนวนมากแต่โดยรวมๆแล้วชนชาติกลุ่มหลัก ในเวียตนามก็คือชาวเขาเผ่าม้งและไท ทำเลของเมืองซาปาตั้งอยู่ในออม้กอดของหุบเขา “หว่างเหลี่ยน เซิน”ซึ่งทอดตัวเป็นแนวยาวมาจากมลฑลยูนานในประเทศจีนจนได้รับการขนานนามว่า” เทือกเขาแอลป์แห่งอ่าวตังเกี๋ย”


สำหรับ ยอดเขาที่สูงโดดเด่นตั้งอยู่เหนือยอดเขาในเทือกเขา หว่าง เหลี่ยน เซิน ก็คือ ฟาน ซี ปัน ซึ่งไม่เพียงแต่สูงที่สุดในประเทศเวียตนามเท่านั้นแต่ยังมีความสูงกว่ายอด เขาลูกใดๆในอินโดจีนอีกด้วยคือมีความสูง 3,143เมตร ยอดเขารูปทรงปิรามิดลูกนี้ถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกและอุณหภูมิลดต่ำกว่าศูนย์ องศาเซสเซียสเกือบตลอดทั้งปี ภูเขาลูกนี้เป็นความใฝ่ฝันและความท้าทายอันยิ่งใหญ่ของนักท่องเที่ยว ผจญภัยหลายต่อหลายคนทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นของนักไต่เขาหลายคนเดินทางมาที่ นี่เพื่อพิชิตยอดเขา ฟาน ซี ปัน ซึ่งต้องใช้เวลาเดินเท้านานประมาณสามวันกับการขึ้นไปสัมผัสเมฆหมอกบนจุดสูง สุดของภูเขา ฟานซีปัน แห่งนี้


สำหรับ ชื่อของภูเขา ฟานซีปัน มาจากสำเนียงพื้นเมืองว่า “ฮัวซีปัน”ซึ่งมีความหมายว่า “ภูเขาใหญ่อันง่อนแง่น” ทั้งนี้เพราะบนยอดสูงสุดของภูเขาฟานซีปันแห่งนี้มีลักษณะเหมือนหินแกรนิต ขนาดใหญ่สองก้อนที่ตั้งพิงกันไว้ราวกับจะเอนล้มลงมาเมื่อไหร่ก็ได้ ภูเขาฟานซีปัน หรือหลังคาแห่งอินโดจีนแห่งนี้มีนักไต่เขาน้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้พิชิตยอด เขาสูงสุดลูกนี้ได้จนในที่สุด ในปีพ.ศ 2534ชาวเวียตนามชื่อว่า เหวียนเกียน ฮุง ผู้มีความมานะพยายามที่จะพิชิตยอดเขาแห่งนี้มาหลายครั้งจนครั้งที่ 13 ความพยายามของเขาก็ประสบผลสำเร็จ เมื่อได้เด็กหนุ่มชาวเขาเผ่าม้ง เป็นคนนำทางพาเขาเดินเท้าตามรอยฝูงแพะขึ้นพิชิตยอดเขาฟานซีปัน จนประสบความสำเร็จและนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาการเดินทางในรูปแบบของเมาท์ เท่นทัวร์ก็ได้เริ่มต้นขึ้นนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมาและนี่ก็คือเกร็ดความรู้ เล็กๆน้อยๆ ที่ผมเล่าให้ท่านฟังก่อนที่จะพาท่านท่องเที่ยวในเมืองซาปา


สำหรับ สถานที่แห่งแรกที่ผมจะพาท่านไปท่องเที่ยวก็คือ ham rong mountain ภูเขาเล็กๆที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านหลังโบสถ์คริสต์กลางเมืองซาปาซึ่งมี ลักษณะเป็นภูเขาลูกเล็กๆ มีความสูงประมาณ 150 เมตรและก่อนที่จะเดินเท้าขึ้นไปเที่ยวบนภูเขาลูกนี้จะต้องเสียค่าธรรมเนียม คนละ 15,000 โด่งหรือประมาณคนละ 40 บาท


บนภูเขา ลูกนี้เป็นแหล่งศึกษาหาความรู้ทางธรรมชาติวิทยาเพราะมีพืชพันธุ์ไม้นานาชนิด ที่หายากตลอดจนไม้ดอกเมืองหนาวนานาพันธุ์สวยสดงดงามมากในช่วงฤดูหนาวแต่ความ สวยงามก็ยังสวยสู้พระตำหนักดอยตุงและดอยอ่างข่างของเราไม่ได้


หลัง จากเดินเที่ยวชมสวนพฤกษ์ศาสตร์ และสวนดอกไม้เสร็จจากนั้นจึงเดินเท้าต่อขึ้นไปยังจุดชมวิวสูงสุดของภูเขา ลูกนี้ซึ่งทำเป็นบันไดอิฐสลับกับทางเดินเท้าพื้นราบผ่านสวนหินธรรมชาติรูป ร่างแปลกตาซึ่งมีอายุนับพันปีสำหรับทางขึ้นจุดชมวิวนั้นวกไปเวียนมาคล้าย เดินอยู่ในเขาวงกต ทำให้เราทั้งสองคนเกือบหลงทางหลายครั้งเนื่องจากไม่มีป้ายบอกเส้นทาง เป็นภาษาอังกฤษมีแต่เป็นภาษาเวียดนามเท่านั้นจนต้องถามเส้นทางจากน้องๆ ชาวเวียตนามที่ขึ้นมาท่องเที่ยวจนได้พบกับเส้นทางที่ถูกต้องชัดเจนและในที่ สุดเราทั้งสองคนก็ขึ้นมาถึงยังจุดชมวิวบนเขาลูกนี้ได้ก็ทำเอาน้ำลายเหนียวคอ ไปตามๆกันแต่เมื่อได้ขึ้นมาเห็นวิวทิวทัศน์บนจุดชมวิวแห่งนี้แล้วเราทั้งสอง คนแทบจะหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งประกอบในวันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสเป็นใจให้เรา ถ่ายภาพ


ภาพของ เมืองซาปาตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่เบื้องล่างห้อมล้อมไปด้วยเทือกเขาหว่างเหลี่ ยนเซิ่นและเมื่อมองไปไกลลิบๆ ก็จะเห็นยอดเขาฟานซีปัน ความสูง 3,148 เมตร สูงกว่าภูเขาลูกใดๆในอินโดจีน สายหมอกเริ่มเคลื่อนตัวไปมาอย่างช้าๆเมฆหมอกบดบังแสงอาทิตย์สภาพปรับ เปลี่ยนไปมาทุกๆ ห้านาที หลังคาสีแดงของวิลล่าคลาสสิคสไตล์โคโลเนียลแบบฝรั่งเศส สลับกับสีสันของบรรดาบ้านเรือนผู้คน โบสถ์คริสต์ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่เบื้องล่างถนนหนทางและทะเลสาปที่ตั้งอยู่ใจ กลางเมืองซาปาช่างเป็นภาพที่สวยงามคุ้มค่ากับการเดินทางขึ้นมาจริงๆ


เรา ทั้งสองคนใช้เวลาชื่นชมความสวยงามอยู่บนจุดชมวิวจนสมควรแก่เวลาจากนั้นจึง เดินทางกลับลงมาเบื้องล่าง หาอาหารกลางวันรับประทานกันที่ร้านลีลี่ (lyly) ในตัวเมืองซาปาซึ่งเมนูอาหารส่วนใหญ่จะปรุงมาจากผักและปลา หลังจากอาหารกลางวันผ่านพ้นไปแล้วเราใช้บริการรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างออกเดิน ทางไปยังหมู่บ้านชนเผ่าชาวม้งดำเรียกว่า cat cat villages


หมู่ บ้านตั้งอยู่ในหุบเขาเส้นทางลงลาดชันรถทุกชนิดไม่สามารถลงไปได้ต้องใช้เท้า เดินเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งมีเส้นทางเดินเท้าให้เดินเที่ยวชมวิถีชีวิตแต่ละบ้านซึ่งเป็นที่นิยมของ นักท่องเที่ยวชาวยุโรปเป็นอย่างมากเพราะที่บ้านเขาไม่มีแต่สำหรับเราทั้งสอง คนแล้วรู้สึกเฉยๆเพราะเห็นหมู่บ้าน ชนเผ่าที่เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอนเสียจนชาชินแล้วซึ่งบ้านเราดูดีและเป็นระเบียบเรียบร้อยกว่าที่ นี่เสียอีก


แต่ เมื่อเดินทางมาแล้วเพื่อไม่ให้เสียความตั้งใจก็ลองเดินเที่ยวชม ธรรมชาติภายในหมู่บ้านชนเผ่าดูซึ่งส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพทางเกษตรกรรมทำนา ข้าวขั้นบันไดลัดเลาะไปตามไหล่เขาซึ่งถูกเมฆหมอกปกคลุมอยู่ตลอดทั้งปี ลำธารน้ำใสไหลผ่านหมู่บ้านอากาศเย็นสบาย หมู่บ้านชนเผ่าแห่งนี้นอกจากจะทำการเกษตรกรรมทำนาแล้วยังประกอบอาชีพทาง หัตถกรรมท้องถิ่นเป็นรายได้เสริมหญิงชราชาวเขาเผ่าม้งดำกำลังนั่งปักผ้า อย่างสบายอารมณ์


หญิง สาวชาวม้งนั่งทอผ้าไปด้วยมือก็ไกวเปลลูกไปด้วยพร้อมผลิตภัณฑ์งานฝีมือต่างๆ ที่นำมาแขวนไว้หน้าบ้านเพื่อเสนอขายแก่นักท่องเที่ยวพอเรายกกล้องขึ้นจะถ่าย รูปบางคนก็หันหน้าหลบ แต่ถ้าเป็นหญิงชราบางคนบางคนจะชี้สินค้าของตนเองเป็นเชิงบอกให้เราทราบว่า เมื่อถ่ายรูปฉันแล้วก็อุดหนุนสินค้าของฉันบ้าง แต่บางคนไม่ชี้นิ้วกลับเป็นชูสองนิ้วพร้อมกับพูดเป็นภาษาอังกฤษว่า “two dollar”เป็นค่าถ่ายรูปตัวฉัน สาเหตุที่ชาวม้งดำเหล่านี้พูดภาษาอังกฤษได้ก็เพราะว่ามีนักท่องเที่ยวต่าง ชาติชาวยุโรปเดินทางมาท่องเที่ยวต่างชาติเป็นจำนวนมากในแต่ละปีจึงเป็น สาเหตุให้ชาวเขาเผ่าต่างๆโดยเฉพาะพวกม้งดำตั้งแต่สาวยันแก่จำเป็นต้อง เปลี่ยนพฤติกรรมการพูดตามโดยหันมาเรียนพูดภาษาอังกฤษกันเป็นการใหญ่ถึงจะ พูดได้งูๆปลาๆ ก็ยังดีกว่าพูดไม่ได้เลยเพื่อประโยชน์ในการขายสินค้า ให้กับนักท่องเที่ยว

บาง คนตื้อขายสินค้าจนเป็นเรื่องน่ารำคาญไป เราทั้งสองมองว่าชาวไทดำที่เดียนเบียนฟูยังน่ารักเสียกว่าชาวม้งดำที่ซาปา เสียอีก เราเดินเที่ยวชมหมู่บ้านชาวม้งดำไปเรื่อยๆจากหมู่บ้านชาวม้งดำเดินข้ามสะพาน แขวนข้ามลำธารน้ำที่กระแสน้ำไหลเชี่ยวกรากเพราะอยู่ในช่วงฤดูฝน

ละออง น้ำจากน้ำตกนิรนามแห่งหนึ่งแห่งหนึ่งฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณที่เราเดินผ่าน ได้สัมผัสกับธรรมชาติ ลำห้วย ขุนเขา สายหมอก ตลอดจนดอกไม้ป่าเราทั้งสองเดินเท้าเที่ยวชมธรรมชาติต่อไปเรื่อยๆจนแข้งขา เริ่มอ่อนล้า ในที่สุดเราก็เดินทางกลับมายังบริเวณที่มอเตอร์ไซด์รับจ้างจอดรอรับเรา อยู่


จาก นั้นเราทั้งสองก็เดินทางกลับมายัง ตัวเมืองซาปาในยามบ่ายคล้อย เดินเท้าเที่ยวชมตลาดในเมืองซาปากัน ซึ่งภายในตลาดซาปาถูกแบ่งออกเป็นสองชั้นคือชั้นล่างจะขายพวกพืชผักผลไม้ อาหารต่างๆส่วนชั้นบนก็จะขายสินค้าของชนเผ่าต่างๆ


เรา เดินเที่ยวชมจนสมควรแก่เวลาจากนั้นจึงออกมาเดินเที่ยวชมไปตามถนนสายหลักใน เมืองซาปา เมืองซาปาในวันนี้เจริญกว่าที่เราคิดไว้มาก โรงแรม ร้านอาหารผุดขึ้นเหมือนดอกเห็ดเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจากแดนไกลเดินทางมา ท่องเที่ยวกับนำเงินยูเอสดอลล่าร์และเงินยูโรซึ่งมีอำนาจมากมายมหาศาลพอที่ จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมต่างๆของคนได้
ชนเผ่าต่างๆที่เคยดำรงชีวิตอยู่ อย่างเรียบง่ายพึ่งพาอาศัยธรรมชาติเป็นหลักมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ ทุกวันนี้วิถีชีวิตที่เป็นธรรมชาติเหล่านี้ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปตามวัฏจักร ของโลกการแข่งขันทางการค้าขายเพื่อให้ได้เงินมาดำรงชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบัน ได้บังเกิดขึ้น วิถีชีวิตง่ายๆอาศัยธรรมชาติเป็นหลักเริ่มหมดไป เราทั้งสองได้มีโอกาสพูดคุยกับนักท่องเที่ยวชาวยุโรป ผู้หนึ่งซึ่งหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของเมืองซาปา


เคย เดินทางมาท่องเที่ยวเมืองซาปาครั้งแรกเมี่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมาในขณะที่เวียดนามเริ่มเปิดประเทศใหม่ๆและในวันนี้เขาได้กลับ มาเยือนซาปาเมืองที่เขาเคยหลงใหลในมนต์เสน่ห์อีกครั้งหนึ่ง ปัจจุบันนี้เมืองซาปาเปลี่ยนแปลงไปมากโดยเฉพาะวิถีชีวิตชนเผ่าต่างๆที่อาศัย อยูในเมืองซาปาปกติจะดำรงชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย ขี้อายไม่ชอบพบปะผู้คนโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวแต่ในปัจจุบันกลับตรงกันข้ามพอ ทุกคนเห็นนักท่องเที่ยวก็จะกรูกันเข้ามาเสนอขายสินค้าของตนต่างคนต่างมะรุม มะตุมนักท่องเที่ยวขายสินค้าเพื่อสิ่งเดียวเท่านั้นก็คือ เงิน เงิน แล้วก็ เงิน


ซึ่ง เป็นการทำลายบรรยากาศในการท่องเที่ยวในเมืองซาปา เราทั้งสองคนเดินเท้าซอกซอนไปตามถนนทุกซอกทุกมุมในเมืองซาปา ตึกเก่าๆสภาพชำรุดทรุดโทรมกำลังถูกทุบทิ้ง วิลล่าหลังใหม่ๆสีสันสดใสกำลังผุดขึ้นมาแทนที่


เรา เดินเท้าผ่านร้านขายของที่ระลึก สินค้าส่วนใหญ่เป็นผ้าทอมือจากฝีมือของชาวเขาเผ่าต่างๆ บริษัทนำเที่ยวที่เปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวในเมืองซาปาใน รูปแบบของการท่องเที่ยว One Day trip ตลอดจนโปรมแกรมทัวร์ยอดฮิตพิชิตยอดเขาฟานซีปันหลังคาแห่งอินโดจีนในราคาที่ เริ่มต้นตั้งแต่ 40-130 ดอลล่าร์ ซึ่งราคาสูงหรือต่ำนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร ลูกหาบ การบริการ และไกด์นำทาง ตลอดจนรูปแบบโปรแกรมของแต่ละบริษัททัวร์ด้วยทัวร์ที่จัดการเดินป่าจะมีไก ด์ท้องถิ่น มีลูกหาบ มีอาหาร มีรถรับส่ง ที่พักซึ่งมีลักษณะเป็นเพิงพักถาวรอยู่ระหว่างเส้นทางเดินเท้าในป่าพอพักหลบ ฝนได้ เมื่อตกลงราคากันได้แล้วก็จะมีรถตู้ไปส่งที่ Hoang Lien Nationalparkอันเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางเดินป่าพิชิตยอดเขาฟานซีปัน นอกจากนี้ตามบริษัททัวร์ต่างๆยังมีบริการรับจองตั๋วเครื่องบิน,รถทัวร์ โดยสาร,รถไฟตลอดจนโรงแรมที่พักทั่วประเทศเวียดนามเหมือนกับบริษัททัวร์ใน บ้านเรา สำหรับแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวบางคนให้ความสนใจก็คือ “ตลาดขายรัก”หรือ Lovemarket ซึ่งไม่เหมือนกับตลาดขายรักบริเวณรอบสวนลุมหรือริมคลองหลอดบ้านเราน่ะครับ แต่เป็นตลาดขายรักซึ่งเป็นประเพณีโบราณของชนกลุ่มน้อยทางภาคเหนือของ เวียดนาม สืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษซึ่งจะจัดในคืนวันเสาร์ของทุกเดือนในงานจะ มีชนกลุ่มน้อยจากเผ่าต่างๆไม่ว่าจะอยู่ใกล้และไกลจากเมืองซาปาจะแต่งกายด้วย เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายสีฉูดฉาดที่สุดโดยนัดมารวมตัวกันที่นอกเมืองซาปาจาก นั้นก็สอดส่ายสายตามองหาสิ่งที่หัวใจตัวเองปรารถนา สำหรับหนุ่มสาวก็คือ “คู่รัก” แต่สำหรับผัวเมียแล้วก็คือ “ชู้รัก” จากนั้นงานปาร์ตี้ชนเผ่าก็จะเริ่มขึ้น การดื่มกิน ร้องเพลงเต้นรำกันเป็นที่สนุกสนานจากนั้นการเกี้ยวพาราสีกันระหว่างชายหนุ่ม หญิงสาวก็จะเริ่มต้นขึ้น มันเป็นโอกาสที่จะมีความสัมพันธ์กันชั่วคืนหนึ่งจากนั้นในเช้าของวันรุ่ง ขึ้นการดื่มกินสั่งลาก็จะเรื่มต้นขึ้นอีกครั้งหลังจากนั้นทุกคนจึงจะค่อยๆ เดินโซซัดโซเซฟ้าเหลืองกลับบ้านเผ่าใครเผ่ามัน ประเพณีนี้เป็นความเชื่อของคนภูเขาเผ่าต่างๆที่นับถือภูตผีปีศาจสืบทอดกัน มาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าเวลาที่เราสองคนอยู่ในซาปานั้นน้อยเกินไปจึงไม่มี โอกาสได้ไปร่วมแจมงานประเพณีนี้กับชาวเขาเผ่าต่างๆ สำหรับประเพณีนี้นอกจากจะจัดขึ้นที่เมืองซาปาแล้วยังถูกจัดขึ้นที่จังหวัด ล่าวก๋าย ,จังหวัดซอนล่า,และจังหวัดฮาเกียงอันเป็นจังหวัดที่มีชนเผ่าอาศัยอยู่แต่ใน จังหวัดฮาเกียงแล้วประเพณีนี้จะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ปลายเดือนมีนาคมของทุก ปีท่านผู้อ่านท่านใดที่สนใจประเพณีนี้อาจจะหาเวลาเดินทางมาร่วมแจมพิธีนี้ กับชาวภูเขาเผ่าต่างๆบ้างก็ได้ถ้าใจถึงพอ
เราทั้งสองเดินท่องเที่ยวไป ในตัวเมืองซาปาซึ่งมีขนาดเล็กเดินเที่ยวได้รอบเมืองภายในวันเดียวบริเวณ ตลาดชนเผ่าตั้งอยู่ใจกลางเมืองซาปามีชาวเขาเผ่าม้งและชาวเวียดนามนำผลไม้ เมืองหนาวมาวางขายอาทิเช่น ลูกท้อภาษาเวียดนามเรืยกว่า หวาด๋าว และลูกไหน ผลสีม่วงรสชาติเปรี้ยวอมหวานภาษาเวียดนามเรียกว่า เหมิน และลูกพลับมาวางขายในกิโลกรัมละ 50 บาท


เมื่อ ลองชิมดูรสชาติใช้ได้จึงช่วยอุดหนุนเป็นเสบียงในระหว่างการเดินทางอีกยาว ไกล สำหรับสินค้าต่างๆที่นำมาวางขายส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าประเภทเครื่องอุปโภคและบริโภคของเวียดนามและสินค้าที่นำเข้าจากจีนเพราะพรมแดนใกล้ชิดติดกับ ประเทศจีนจึงทำให้สินค้าจากจีนหลั่งไหลเข้ามาขายเป็นจำนวนมาก


ตลาด เมืองซาปาแบ่งออกเป็นสองชั้นชั้นล่างเป็นตลาดสดส่วนชั้นบนเป็นตลาดขายเสื้อ ผ้าของชนเผ่าต่างๆซึ่งมานั่งเย็บปักถักร้อยกันเป็นแถวสีสันของเสื้อผ้าสวยสด ตามสไตล์ชาวเขา


จาก ตลาดเมืองซาปาเราสองคนเดินเท้าไปตามถนนสายหลักในเมืองซึ่งมีแต่ม้งเดินเร่ ตื้อขายของให้กับฝรั่งนักท่องเที่ยวสองข้างทางก็มีชาวม้งเอาสินค้ามาวางขาย ทั้งของสดและของแห้ง ถนนภายในเมืองไม่มีรถสองแถวและรถแท็กซี่วิ่งไปมาพลุกพล่านให้รำคาญใจมีก็ แต่ชาวเขาเผ่าม้งเท่านั้นที่เดินตามตื้อขายของจนน่ารำคาญ

จาก ตลาดเมืองซาปาเราทั้งสองคนเดินเท้ามายังจัตุรัสใจกลางเมืองที่มีสัญลักษณ์ พื้นเป็นดาวแดงดวงใหญ่อันเป็นสัญลักษณ์ของประเทศเวียดนามมองขึ้นมาก็เป็น โบสถ์คริสต์เก่าๆซึ่งเป็นศูนย์กลางของเมืองซาปาและเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาว คริสต์ที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้และจากโบสถ์คริสต์จะมองเห็นถนนสองเส้นตัดกัน


เส้น แรกทางขวาจะผ่านเข้าไปยังตลาดเมืองซาปาที่เราสองคนเดินผ่านมาเมื่อสักครู่ นี้เป็นแหล่งรวมโรงแรมที่พัก ร้านอาหาร บริษัททัวร์ ร้านขายของที่ระลึก ฯลฯคล้ายกับถนนข้าวสารบ้านเราเป็นที่รวมของฝรั่งแบกเป้ ส่วนเส้นทางซ้ายมือจะไปสู่ทะเลสาปขนาดใหญ่ล้อมรอบไปด้วยบ้านพักสไตล์วิลล่า แบบฝรั่งเศสสีสันสดใสตลอดจนโรงแรมหรูหรามีระดับ เช่นโรงแรมวิคตอเรีย โรงแรมหรูหราสไตล์ฝรั่งเศส


ราคา ห้องพักแพงที่สุดในเมืองซาปาเริ่มต้นที่คืนละ 6,000-12,000บาท เราทั้งสองคนนั่งพักจนหายเมื่อยล้าแล้วจากนั้นหลังจากนั้นจึงรับประทานอาหาร ค่ำกันที่บริเวณร้านอาหารซึ่งอยู่ใกล้กับโรงแรมที่พักของเรา หลังจากรับประทานอาหารค่ำเป็นที่เรียบร้อยแล้วจากนั้นเข้าสู่ที่พักพักผ่อน เอาแรงไว้พรุ่งนี้เราจะเดินทางด้วยรถประจำทางท้องถิ่นไปเมืองคุนหมิงกันครับ
วันที่สามของการเดินทาง
ซาปา – คุนหมิง
อรุณ สวัสดิ์ซาปาอากาศยามเช้าที่เมืองซาปาครึ้มฟ้าครึ้มฝนแต่สดชื่นเย็นสบายจึง ไม่น่าแปลกใจเลยที่โรงแรมทุกแห่งในเมืองซาปาไม่ติดแอร์เพราะอากาศเย็นสบาย อยู่แล้ว


เรา สองคนปฎิบัติภารกิจพร้อมเก็บสัมภาระจากนั้นจึงลงมาจัดการกับกาแฟและอาหาร เช้าเป็นที่เรียบร้อยแล้วจากนั้นจึงเช็คเอาท์ร่ำลาสาวเจ้าของโรงแรมขน สัมภาระขึ้นรถตู้โดยสารเดินทางจากซาปามุ่งหน้าสู่ลาวก๋าย ระยะทางประมาณ 35 กม.อัตราค่าโดยสารคนละ 35,000 โด่ง (100บาท)


เส้น ทางถนนจากซาปาสู่ลาวก๋ายเป็นเส้นทางถนนราดยางลงเขาสภาพถนนดีสองข้างทางวิว ทิวทัศน์สวยงามมาก เทือกเขาฟานซีปันที่ปกคลุมไปด้วยทะเลหมอกลอยเคลื่อนตัวไปมาอย่างอ้อยอิ่ง ผืนนาขั้นบันไดเรียงรายไปตลอดสองข้างทาง เราสองคนเพลิดเพลินไปกับวิวทิวทัศน์สองข้างทางจนในที่สุดก็เดินทางมาตัว เมืองลาวก๋ายโดยใช้เวลาในการเดินทางเพียง 45 นาทีเท่านั้น


เรา สองคนนั่งรถผ่านสถานีรถไฟลาวก๋ายซึ่งกำลังคับคั่งไปด้วยนักท่องเที่ยวต่าง ชาติที่พึ่งเดินทางมาจากฮานอยเมื่อคืนนี้ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมงนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่แล้วมีจุดหมายปลายทางก็คือเมืองซาปา หลังคาอินโดจีนที่เราสองคนพึ่งเดินทางผ่านมา


ใน ที่สุดรถตู้ก็พาเราสองคนมาส่งที่สถานีขนส่งลาวก๋ายซึ่งอยู่ติดกับตลาดสดโดย มีแม่น้ำแดงไหลผ่านใจกลางเมือง และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเที่ยวเราสองคนเลยถือโอกาสเดินเที่ยวภายในตลาดสด ในตัวเมืองลาวก๋ายเสียเลย


ตลาด สดลาวก๋ายบรรยากาศก็เหมือนตลาดสดทั่วๆไปตามหัวเมืองใหญ่ๆของเวียดนามที่อุดม สมบูรณ์ไปด้วยพืชผักผลไม้เนื้อสัตว์และที่จะขาดเสียไม่ได้ก็คือเนื้อ จ๋อ(สุนัข)ซึ่งนำมาวางขายอย่างโจ๋งครึมและเนื่องจากลาวก๋ายอยู่ติดกับชายแดน ประเทศจีนภายในตลาดจึงอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสินค้าอุปโภคและบริโภคที่นำเข้า จากจีน สินค้าที่นำเข้าจากไทยหาได้ยากเต็มทน


เรา ใช้เวลาเดินเท้าเที่ยวชมตลาดลาวก๋ายไม่นานนัก จากนั้นจึงเดินเท้าระยะทางประมาณ500เมตรมายังพรมแดนด่านตรวจคนเข้าเมือง เวียดนาม-จีน


จาก นั้นจัดการประทับตราพลาสปอตร์เดินทางออกจากประเทศเวียดนามที่ด่านลาวก๋ายขน สัมภาระเดินเท้าไปตามสะพานข้ามแม่น้ำแดงสู่ด่านตรวจคนเข้าเมือง เค่อโก๋วหรือภาษาไทยรียกว่าด่านปากคลองของจีน


ก่อน หน้าที่เราสองคนจะเดินทางมาได้ยื่นขอวีซ่าเดินทางเข้าประเทศจีนจากสถานทูต จีนที่อยู่ในเมืองไทยมาก่อนแล้วทำให้การเดินทางเข้าสู่ประเทศจีนสะดวกและรวด เร็วกว่าปกติ แต่มาเสียเวลาตรงที่การตรวจค้นสิ่งของต่างๆในกระเป๋าเดินทางว่ามีสิ่งของที่ ทางการจีนห้ามนำเข้าประเทศหรือเปล่าเราจำเป็นต้องทิ้งผลไม้ที่ซื้อมาจาก เมืองซาปาเพราะทางการจีนมีกฎห้ามนำผลไม้จากประเทศอื่นเข้าประเทศจีนโดยเด็ด ขาดสงสัยกลัวผลไม้ในประเทศตัวเองจะขายไม่ได้ ซึ่งแม้แต่ภาพต่างๆที่เราสองคนถ่ายมาในระหว่างการเดินทางก็ขอให้เราเปิดให้ ดูแต่พอเจ้าหน้าที่เห็นภาพเส้นทางที่เราสองคนถ่ายมาระหว่างการเดินทางในลาว และเวียดนามก็ทำสีหน้าแปลกใจพร้อมกับสอบถามถึงเส้นทางทรมานบันเทิงที่เราสอง คนเดินทางมาว่าเส้นทางลำบากลำบนขนาดนี้เดินทางมาได้อย่างไรทำไมไม่เดินทางมา ทางเครื่องบินที่สะดวกสบายและรวดเร็วกว่าหลายเท่า ซึ่งพวกเราตอบกลับไปว่าไม่มีสตังค์เป็นอันจบ


จาก นั้นเราทั้งสองคนหอบหิ้วสัมภาระพร้อมกับปรับเวลาที่นาฬิกาข้อมือให้เร็ว ขึ้นอีกหนึ่งชั่วโมงเดินเท้ามาที่สถานีขนส่งเมืองเค่อโก๋วที่ตั้งอยู่ห่าง จากด่านตรวจคนเข้าเมืองไม่มากนัก


จาก นั้นจึงเดินเข้าไปสอบถามถึงตารางเวลาการเดินรถไปคุนหมิงด้วยภาษาจีนซึ่งได้ ความว่าจะมีรถโดยสารเดินทางจากเมืองเค่อโก๋วไปคุนหมิงเที่ยวเวลา 11.00 น ค่าโดยสารคนละ121หยวน(600บาท)ระยะทาง471กม.ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10-12ชั่วโมง เราจัดการจองตั๋วรถโดยสารเที่ยวเวลา 11.00 น.


จาก นั้นจึงเดินเท้ามาหาก๋วยเตี๋ยวรับประทานกันบริเวณใกล้กับสถานีรถขนส่งเค่อ โก๋ว เพื่อรอเวลารถออก สำหรับเมืองเค่อโก๋วตั้งอยู่ในมณฑลยูนานทางทิศตะวันออกฉียงเหนือของประเทศ จีนเป็นเมืองชายแดนเล็กๆที่มีพรมแดนติดกับตอนเหนือของประเทศเวียดนามคือจัง หวัดล่าวก๋าย เมืองเค่อโก๋วจึงเปรียบเสมือนกับเมืองหน้าด่านพักสินค้าก่อนระบายสินค้าเข้า สู่เวียดนามและประเทศต่างๆในอินโดจีนเส้นทางสายนี้เป็นเส้นทางสายยุทธศาตร์ ที่สำคัญ ในช่วงสิ้นสุดสงครามเวียดนามใหม่ๆทางรัฐบาลจีนได้ใช้เส้นทางสายนี้ลำเลียง ทหารตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ทำสงครามสั่งสอนเวียดนามมิให้กำแหงหาญทำสงครามบุก ยึดอินโดจีนและในช่วงที่กองทัพเวียดนามทำสงครามกอบกู้เอกราชจากฝรั่งเศสและ อเมริกา จีนก็ยังใช้เส้นทางสายนี้ส่งกำลังบำรุงมาช่วยกองทัพเวียดนามทำสงครามกอบกู้ เอกราชจนมีชัยชนะเหนือมหาอำนาจอย่างฝรั่งเศสและอเมริกา และนี่ก็คือเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆที่ผมเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังก่อนที่จะออก เดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองคุนหมิงต่อไป

เวลา 11.00 น. รถโดยสารก็พาเราสองคนออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองคุนหมิงรถโดยสารวิ่งมาได้ สักหนึ่งชั่วโมงก็มาถึงด่านทหารเค่อโก๋วซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเมืองเค่อโก๋ วระยะทางประมาณ 19 กม. จากนั้นทหารทำการตรวจเช็คพลาสปอรต์และวีซ่าขออนุญาติเข้าเมืองจากชาวต่าง ชาติซึ่งในรถโดยสารเที่ยวนี้นอกจากมีเราสองคนที่เป็นชาวต่างชาติแล้วก็ยังมี แหม่มสาวชาวอังกฤษเดินทางร่วมโดยสารมาด้วยอีกหนึ่งคนที่เหลือก็เป็นชาว เวียดนามและชาวจีนที่เดินทางค้าขายระหว่างเมืองเค่อโก๋วกับคุนหมิง


เส้น ทางต่อจากนี้ไปจะเป็นเส้นทางขึ้นเขาคดเคี้ยววกวนเลาะเลียบไปตามไหล่เขาตลอด สองข้างทางที่เรามองผ่านกระจกรถลงไปเป็นแม่น้ำน้ำที่ไหลเชี่ยวกรากสีขุ่นข้น สองฟากฝั่งเต็มไปด้วยสวนกล้วยนับเป็นพันๆไร่ เราสองคนเพลิดเพลินไปกับวิวทิวทัศน์ตลอดสองข้างทางจนในที่สุดรถโดยสารก็มา หยุดให้ผู้โดยสารแวะพักรับประทานอาหารระหว่างทางที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่ง ดูสภาพแล้วไม่น่าจะเรียกว่าร้านอาหารได้เลยถ้าไม่โผล่หน้าเข้าไปในร้านซึ่ง มีตู้เย็นแช่ของสดเป็นสิ่งยืนยันว่านี่นะเป็นร้านอาหารจริงๆ ยิ่งโต๊ะทานอาหารที่แยกเป็นห้องๆ ด้วยแล้วขอบอกเลยว่าเสียวท้องเสียวไส้เอามากๆ เพราะหาสุขอนามัยแทบไม่ได้ ที่ดูดีที่สุดบนโต๊ะก็คงเป็นตะเกียบที่ใส่ซองกระดาษดูสะอาดสะอ้าน แต่พอเราดึงตะเกียบออกมาเท่านั้นก็ต้องมาทำใจ เพราะว่าซกม๊กจริงๆ เราสองคนเดินออกมานอกร้านมายืดเส้นยืดสายหลังจากสั่งเมนูอาหาร 2-3 อย่างมารับประทาน ระหว่างรออาหารเสร็จเราสองคนเดินผ่านห้องครัวไปเข้าห้องน้ำมองเห็นพ่อครัว กำลังผัดผักไปพร้อมกับขากถุยไปเสียงดังลั่นสนั่นครัว


พอ เดินมาถึงห้องน้ำเพื่อถ่ายเบาเราทั้งสองคนก็แทบผวานอกจากกลิ่นฉุนอันรุนแรง แล้วภายในห้องสุขาที่ถูกแบ่งเป็นล็อคๆปราศจากประตูปิดยังมีคนนั่งยองๆ สูบบุหรี่ถ่ายหนักทำทองไม่รู้ร้อน สภาพส้วมเหมือนกับไม่เคยโดนน้ำมาเป็นปีๆ เราทั้งสองคนหลับหูหลับตากั้นลมหายใจจนเสร็จสิ้นภารกิจจากนั้นจึงสาวเท้า จ้ำอ้าวๆ ออกมาสูดหายใจ
เอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปชะล้างปอด พอเราทั้งสองคนเดินออกมาแหม่มสาวชาวอังกฤษก็เดินสวนเราเข้าไป พลันเธอก็ต้องเดินกลับออกมากพร้อมทำหน้าเป็นลิงป่วย แหม่มคงจะเจอสภาพเดียวกับเราสองคน คงจะนอนฝันร้ายไปอีกหลายคืนส่วนกลิ่นก็คงจะติดจมูกกลับไปถึงอังกฤษแน่ๆ เราสองคนจัดการกับอาหารที่สั่งมาอย่างที่ไม่เต็มใจจะรับประทานเท่าใดนัก เพราะรสชาติอาหารจืดชืดผัดผักที่ผัดมาอย่างขอไปทีหมูสักชิ้นก็ยังไม่มีแถม ต้มจืดเผือกก็จืดสนิทสมกับชื่อเลยจริงๆ จนเพื่อนที่ร่วมทางมากับผมบ่นออกมาว่า “มันเอามือทำหรือตีนทำกันแน่ว่ะ”


ร้าน อาหารที่ว่าทำห่วยแตกในบ้านเรายังทำได้ดีกว่านี้เสียอีก ตรวจเช็คเมนูไปมาปรากฏว่าไอ้เมนูที่เราสั่งไปกลับไม่ได้กินแต่ไอ้เมนูที่เรา ไม่ได้สั่งกลับเอามาให้เรากินมันอะไรกันหว่า สืบไปสอบมาปรากฎว่าพนักงานเสริฟในร้านเสริฟอาหารมั่ว แถมเวลาเช็คบิลยังเอาเมนูที่เราสั่งแล้วไม่ได้กินมาคิดตังค์กับเราเสียอีก โชคดีที่เพื่อนร่วมเดินทางมากับผมอดีตเคยหาบเต้าฮวยขายอยู่แถวเยาวราช ตั้งแต่เล็กจนโตเลยพอที่จะอ่านภาษาจีนออกพูดภาษาจีนได้บ้างทำให้เราสองคน ไม่ถูกเหล่าอาเฮียอาตี๋หามขึ้นเขียงเอาเราไปเชือดได้ง่ายๆ เราสองคนจ่ายค่าอาหารเพียงครึ่งหนึ่งของราคาที่ลงไว้ในบิลเป็นเงิน40 หยวนจ่ายจริงเพียงแค่ 20 หยวนเท่านั้นจะเอาหรือไม่เอาแถมเรียกพนักงานเสริฟมาดูเมนูอาหารที่ทำมาให้ เรากินว่าตรงกับเมนูที่สั่งไปหรือไม่ปรากฏว่าพนักงานเสริฟยอมรับว่าเสริ ฟอาหารผิดโต๊ะ เมื่อทำผิดแล้วยอมรับผิดพี่ไทยให้อภัยอยู่แล้ว ดีที่เพื่อนเราอ่านภาษาจีนออกพูดภาษาจีนได้ไม่เช่นนั้นโดนอาเฮียเจ้าของ ร้านมัวนิ่มฟันเลือดอาบไปแล้ว ให้มันรู้เสียบ้างว่าพี่ไทยไม่ใช่หมูที่จะให้เชือดกันได้ง่ายๆ ถ้าไม่แน่จริงคงจะไม่นั่งรถจากกรุงเทพฯระยะทางเป็นพันๆ กิโลเมตรมาเที่ยวเองหรอกเฟ้ย
หลังจากปะทะคารมณ์กันพอหอมปากหอมคอจาก นั้นจึงเริ่มออกเดินทางต่อ สำหรับเหตุการณ์ที่ผ่านมาถือเสียว่าเป็นบทเรียนในการเดินทางไปท่องเที่ยวยัง ทุกหนทุกแห่งในโลก ภาษาเป็นสิ่งสำคัญรู้ภาษาท้องถิ่นที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวไว้บ้างก็จะ เป็นการดีป้องกันการถูกหลอก สั่งข้าวสั่งน้ำถามหาเส้นทางได้บ้างก็ถือว่าโอเคแล้ว ถ้าไม่รู้ภาษาท้องถิ่นเลยถ้าเจอคนดีก็ถือว่าโชคดีไปแต่ถ้าเจอคนไม่ดีแล้ว อาจถูกหลอกเอาง่ายๆ ดังนั้นเรียนรู้ภาษาท้องถิ่นที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวไว้บ้างก็จะเป็นการ ดี


เรา สองคนนั่งรถชมวิวทิวทัศน์ไปตลอดสองข้างทางบนถนนหมายเลข326 ซึ่งเป็นทางราดยางสองเลนถนนสายเก่าสำหรับทางด่วนไฮเวย์แปดเลนจะเปิดให้ใช้ ประมาณกลางปีหน้าซึ่งจะช่วยย่นระยะการเดินทางเค่อโก๋ว- คุนหมิง จาก 12 ชั่วโมง ลงเหลือ 8 ชั่วโมง ประหยัดเวลาไปอีก 4 ชั่วโมง


แต่ ตอนนี้ต้องมานั่งทุกข์ทรมานบนเส้นทางสายเก่าไปก่อน นั่งหลับๆตื่นๆจนมาสะดุ้งตื่นอีกทีเมื่อได้ยินเสียงขากถุยจากเบาะหน้าดัง ลั่นสนั่นรถแถมเปิดหน้าต่างรถที่กำลังวิ่งเร็วๆถุยน้ำลายออกไปนอกรถอีก ละอองน้ำลายกระเซ็นฟุ้งย้อนกลับเข้ามาในรถจนเราสองคนต้องหลบเป็นพัลวัน เท่านั้นยังไม่พอใครใคร่สูบบุหรี่บนรถแอร์สูบ เป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนที่นี้ที่ทางรัฐบาลยังไม่ออกกฎหมายมาบังคับเหมือน บ้านเรา เราสองคนจึงจำต้องกล้ำกลืนฝืนทนนั่งรถเมาควันบุหรี่ไปตลอดทางแถมหยุดรับส่ง ผู้โดยสารไปตลอดทางทำเลียนแบบรถร่วมขสมก.บ้านเราเปี๊ยบเลยนึกจะจอดรับส่งผู้ โดยสารตรงไหนก็จอดนึกจะจอดซ่อมรถตรงไหนก็จอดซ่อมแล้วเมื่อไหร่มันจะถึงคุ นหมิงเสียทีว่ะนี้ ท่านผู้อ่านที่สนใจจะเดินทางตามรอยของเราทั้งสองคนบนเส้นทางนี้ก็ขอให้ทำใจ กันมาได้เลยหรือฟังเราเล่าแล้วจะถอดใจเสียแล้วก็ไม่รู้ เราเดินทางผ่านเมืองเหมิ่งจื้อ ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยไร่ทับทิมที่กำลังออกผลสุกงอมรอวันเก็บสุดลูกหูลูก ตานับเป็นพันๆไร่ ผ่านท้องนาขั้นบันไดและทะเลสาบกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา


รถ โดยสารพาเราผ่านเมืองไคหยวนเมื่อเวลาพลบค่ำเป็นเวลาที่รถบรรทุกออกวิ่งเพล่น พล่านเต็มท้องถนนไปหมด ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยโรงงานอุตสหกรรม โรงงานถลุงเหล็ก, โรงงานปูนซีเมนต์เปิดไฟสว่างไสวไปทั่วมองไกลๆเหมือนใครกำลังเผาป่า เรานั่งรถต่อไปในใจก็ภาวนาว่าเมื่อไหร่จะถึงจุดหมายปลายทางเสียทีว่ะ และในที่สุดความฝันของเราก็เป็นจริงรถโดยสารพาเราทั้งสองคนเดินทางมาถึง เมืองคุนหมิงเมื่อเวลา 23.00 น โดยใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมง บรรยากาศในเมืองคุนหมิงเงียบสงบร้านรวงต่างๆ ปิดให้บริการ เป็นครั้งแรกที่เราสองคนเดินทางมายังเมืองคุนหมิง หลังจากลงจากรถจากนั้นแบกสัมภาระเดินเท้าหาโรงแรมที่ซุกหัวนอนของเราในคืน นี้และในที่สุดเราสองคนก็ได้โรงแรมที่พักชื่อว่า kiredon hotel..เป็น โรงแรมระดับสามดาวในราคาคืนละ 500บาทโรงแรมตั้งอยู่บนถนนสายหลักในเมืองคุนหมิงตรงข้ามกับสถานีขนส่งฯแต่ กว่าจะเจรจาความต่างๆกันได้ทำเอาเราสองคนอ่อนอกอ่อนใจไม่ใช่เจรจากันไม่รู้ เรื่องน่ะครับรู้เรื่องหมดแต่โรงแรมแห่งนี้ไม่ยอมรับเป็นเงินสกุลดอลล่าร์ และยูโร คุณเธอจะเอาแต่เงินหยวนลูกเดียวและจะต้องจ่ายเงินล่วงหน้าก่อนหนึ่งคืนถึงจะ ยอมให้เช็คอิน ส่วนพลาสปอรต์ก็เอามาดูๆแล้วก็เขียนชื่อลงในใบแจ้งเข้าพักจากนั้นก็ส่งคืน กลับให้เราทั้งสองคน โรงแรมก็ไม่มีเคานเตอร์ให้แลกเงินเราบอกให้เก็บพลาสปอรต์ของเราทั้งสองคนไว้ จากนั้นในวันรุ่งขึ้นธนาคารเปิดทำการเราจะไปแลกเงินหยวนมาจ่ายค่าโรงแรมให้ บอกคุณเธออย่างไรก็ไม่ยินยอมยืนกระต่ายขาเดียวจะเอาเงินหยวนท่าเดียวจนเรา อ่อนอกอ่อนใจ นี่ถ้าเป็นเวลากลางวันเราสองคงเดินหาโรงแรมใหม่ไปแล้ว เวลาก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนแล้วธนาคารต่างๆ ก็ปิดแล้วจะไปแลกเงินกันที่ไหนดีหว่า โชคร้ายมาเจอโรงแรมบริการห่วยแตกไม่ง้อลูกค้าอย่างโรงแรมนี้ไม่มีโรงแรมที่ ไหนในโลกเขาทำกันหรอกครับ เราสองคนจำใจต้องแบกสัมภาระกลับออกไปเพื่อหาที่แลกเงินหยวนและฟ้าก็เมตตา เราทั้งสองคนเมื่อร้านอาหารที่อยู่ห่างจากโรงแรมไม่กี่ร้อยเมตรยังไม่ปิด บริการยอมรับและแลกเปลี่ยนเงินดอลล่าร์เป็นเงินหยวน เราสองคนเลยถือโอกาสรับประทานอาหารค่ำกันที่ร้านนี้เมื่อเวลา 24.00 น.


จาก นั้นกลับไปเช็คอินจ่ายค่ามัดจำโรงแรมเป็นเงินหยวนขนสัมภาระเข้าห้องพักจาก นั้นจัดแจงปฎิบัติภารกิจส่วนตัวเสร็จสรรพ ล้มตัวลงนอนด้วยความอ่อนเพลียในการเดินทางมาตลอดทั้งวัน พรุ่งนี้เราสองคนจะพาท่านเดินทาง city tour ในเมืองคุนหมิงกันครับ
วันที่สี่ของการเดินทาง
City tour เมืองคุนหมิง
ตื่น นอนตอนเช้าด้วยอาการอ่อนเพลียเล็กน้อยเพราะนอนไม่เต็มตื่น ลุกขึ้นมาอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันจากนั้นจึงเดินออกจากโรงแรมออกไปหาอาหารเช้า รับประทานกันดีกว่า อากาศยามเช้าสดชื่นไม่หนาวเย็นมากนักเพราะอยู่ในช่วงฤดูฝน


เรา สองคนตัดสินใจเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่งเพราะเห็นภาพถ่ายรูปอาหารข้างหน้า ร้านหน้ากินนึกในใจว่าคงเป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยวแน่ๆจะได้ซดน้ำซุปร้อนๆในตอน เช้าให้กระปี้กระเป่า จัดแจงเปิดเมนูเห็นรูปอาหารน่ากินเลยสั่งก๋วยเตี๋ยวเนื้อและขนมกุ๋ยฉ้ายมา รับประทานเป็นอาหารเช้าราคาชามละ 5หยวน (25บาท) รสชาติธรรมดามาก หลังอาหารเช้าออกมาเดินเล่นตามถนนในเมืองคุนหมิงมองหาบริษัททัวร์เพื่อ ติดต่อพาเราสองคนเที่ยวเพราะเป็นครั้งแรกที่เดินทางมาคุนหมิงไม่รู้อะไร เกี่ยวกับเมืองนี้เลยมีหนังสือนำเที่ยวคุนหมิงด้วยตัวเองติดกระเป๋ามาจาก เมืองไทเขียนโดยใครก็ไม่รู้ไม่เอ่ยชื่อดีกว่า คนเขียนเที่ยวไปเขียนไปสนุกสนานกันแค่สองคน แต่คนอ่านอ่านแล้ว งง ไม่ทราบว่าเป็นหนังสือสอนภาษาจีนหรือไกด์บุ๊คนำเที่ยวกันแน่ เหมือนตามดูกูเที่ยว เลยเก็บเข้ากระเป๋าดีกว่ารู้อย่างนี้ไม่หอบมาให้หนักกระเป๋า เนื่องจากเป็นเวลาเช้าบริษัทจึงยังไม่เปิดทำการ เดินเล่นไปมาสักพักหนึ่งเห็นรถทัวร์โดยสารจอดเรียงรายอยู่เป็นแถวยาวมีชาว จีนรอขึ้นรถมากมายลักษณะการแต่งกายเหมือนกับนักท่องเที่ยวโดยมีไกด์กำลังโบก ธงไสวส่งเสียงเป็นภาษาจีนดังลั่นเพื่อนผมจับใจความได้ว่า ทัวร์คณะนี้กำลังจะเดินทางไปเที่ยวสวนป่าหิน เราสองคนสนใจรีบเดินเข้าไปติดต่อไกด์ทันที เพื่อนผมส่งภาษาจีนกลางพูดคุยอยู่กับไกด์สักครู่ใหญ่ จึงหันมาแปลให้ผมฟังว่า บนรถยังมีที่ว่างเหลืออยู่หลายที่ถ้าเราสองคนสนใจจะร่วมขบวนไปพร้อมกับทัวร์ คณะนี้ก็เชิญได้ในราคาต่างชาติคนละ220หยวน(1,100บาท)โดยแบ่งออกแบ่งออกเป็น ค่าผ่านประตู140หยวน,ค่าอาหารกลางวัน 40หยวน,ค่ารถ 40 หยวน รวม 220 หยวนซึ่งเป็นทัวร์ของรัฐบาลจัดในแบบเช้าไปเย็นกลับโดยในโปรแกรมกำหนดไว้ว่า เช้าพาไปเที่ยวสวนหินพร้อมอาหารกลางวันหนึ่งมื้อพอตกบ่ายพาไปเที่ยวช้อบปิ้ง ตกเย็นเดินทางกลับคุนหมิง เราสองคนหันมาสุ่มหัวปรึกษากันว่าถ้าเราสองคนเดินทางไปเที่ยวสวนหินเองราคา ก็จะแพงกว่าหลายเท่าแค่บัตรผ่านประตูเข้าป่าสวนหินราคาก็ปาเข้าไปคน ละ180หยวน(900บาท)เข้าไปแล้วสำหรับชาวต่างชาติระหว่างทางอาจจะโดนลูกหลาน ท่านประธานเหมาฯฟันเพิ่มขึ้นอีกอย่ากระนั้นเลยเราสองคนมามั่วนิ่มขอร่วมขบวน ไปกับทัวร์นี้เลยดีกว่า จากนั้นเพื่อนของผมจึงเดินเข้าไปติดต่อขอซื้อทัวร์ร่วมขบวนไปด้วยหลังจาก ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นเราสองคนจึงขึ้นไปนั่งเสนอหน้าบนรถรอเวลารถออกเหลียวซ้ายแลขวาเห็นอา ซิ้มอาซ้อนั่งอยู่เต็มคันรถทุกคนมรรยาทดีไม่มีเสียงขากถุยให้เสียอารมณ์ ผมจึงอยากจะแนะนำท่านผู้อ่านที่เดินทางมาเมืองคุณหมิงแล้วมีความประสงค์จะมา ท่องเที่ยวยังสวนป่าหินให้ติดต่อซื้อแพ็คเกจทัวร์วันเดียวจากบริษัททัวร์ใน คุณหมิงดีกว่าที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวเองเพราะซื้อทัวร์มาจะประหยัดค่าใช้ จ่ายกว่ามาก

จาก นั้นรถก็พาคณะทัวร์ออกเดินทางแล่นผ่านตัวเมืองคุนหมิงบนถนนที่กำลังคับคั่ง ไปด้วยยวดยานในยามเช้า จนเข้าสู่ถนนไฮเวย์แปดเลนไกด์สาวชาวจีนก็เริ่มปฎิบัติหน้าที่ในทันทีพร้อม เล่าเรื่องราวถึงประวัติความเป็นมาของสวนป่าหินและลงท้ายด้วยการโฆษณาประชา สัมพันธ์คุณสมบัติของสินค้าต่างๆที่เธอจะพาไปช้อปปิ้งกันในยามบ่าย ซึ่งเราสองคนฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างสายตาก็มองออกไปนอกรถชมวิว ทิวทัศน์สองข้างทาง

ถนนหนทางในจีนเจริญมากโรงงานอุตสหกรรมตั้งเรียงรายอยู่ตลอดสองข้างทาง รถทัวร์พาเราลอดอุโมงค์ทางด่วนอุโมงค์แล้วอุโมงค์เล่า


ใน ที่สุดก็เดินทางมาถึงยังสวนป่าหินซึ่งอยู่ห่างจากเมืองคุนหมิงระยะทางประมาณ 126 กม.ใช้เวลาเดินทาง 2ชั่วโมง หลังลงจากรถทัวร์เราสองคนพร้อมกับเหล่าอาซิ้มอาซ้อที่เดินทางมาจากมณฑลต่างๆ ทั่วประเทศจีนก็เดินเท้าตามตามไกด์สาวชาวจีนที่โบกธงเดินนำหน้า


ระหว่าง ทางเดินเราได้พบกับบรรดาชนเผ่าต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในเมืองคุนหมิงถึง 26 ชนเผ่าจากในมณฑลยูนานซึ่งมี 54 ชนเผ่า แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีสดใสเครื่องประดับทำขึ้นจากเงินแวววาวสะดุดตาจนไม่รู้ ว่าเงินแท้หรือเงินเทียม เดินสวนทางผ่านไปมา


แต่ เมื่อมองดูหน้าตาแล้วคล้ายคนจีนมากกว่าชาวชนเผ่าใช้เวลาเพียงสิบห้านาที จากบริเวณลานจอดรถไกด์ทัวร์ก็พาลูกทัวร์และเราสองคนก็เดินเท้ามาถึงสวนป่า หินแต่ถ้านักท่องเที่ยวคนไหนไม่อยากเดินทางสวนป่าหินก็มีบริการรถไฟฟ้าให้ นักท่องเที่ยวที่ขี้เกียจเดินได้ใช้บริการโดยเก็บค่ารถแยกออกต่างหากจากค่า บัตรผ่านประตู


บริเวณปากทางเข้าสู่สวนป่าหินมีตราสัญลักษณ์มรดกโลกขององค์การยูเนสโกประทับอยู่บนโขดหินปูนขนาดใหญ่

จาก นั้นเมื่อเราเดินเท้าเข้าไปภายในสวนป่าหินก็พบกับจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีน หลายร้อยคนกำลังโพสท่าถ่ายรูปกันเป็นที่สนุกสนาน แหงนหน้าขึ้นไปมุมสูงก็คือเก๋งจีนจุดชมวิวยอดฮิตของสวนป่าหินซึ่งกำลังคับ คั่งไปด้วยลูกหลานของท่านประธานเหมาชึ่งเดินเท้าขึ้นมาชมวิวสวนป่าหินพร้อม กับถ่ายรูปกันเป็นที่ครื้นเครงเสียงดังคล้ายนกกระจอกเข้ารัง

เรา สองคนหันไปทางไหนก็พบกับลูกหลานของท่านประธานเหมาอยู่เต็มไปหมดเสียงตะโกน เรียกกันเจี้ยวจ้าวพร้อมกับเสียงขากถุยดังเข้าหูเราสองคนเป็นระยะเราสองคน เดินเที่ยวชมความมหัศจรรย์ของสวนป่าหินทื่มีรูปทรงต่างๆแล้วแต่สายตาของแต่ ละบุคคลที่จะจินตนาการให้มองเห็นเป็นเช่นใด เสือ สิงห์ กระทิง แรด ช้าง ม้า วัว ควาย ฯลฯ หรือแม้แต่แท่งศิวลึงค์สิ่งศักดิ์สิทธิในศาสนาฮินดูก็มีส่วนคล้าย


อย่างกระนั้น เลยถ้าขืนยืนโอ้เอ้อยู่อย่างนี้อดได้ภาพดีๆมาฝากท่านผู้อ่านแน่นอน เดินเท้าลุยขึ้นไปถ่ายรูปบนเก๋งจีนจุดชมวิวยอดนิยมกันดีกว่า ซึ่งกว่าที่พวกเราจะเดินเท้าขึ้นบันไดหลายสิบขั้นฝ่าด่านอรหันต์ขึ้นมาได้ก็ ทำเอาเหงื่อตกไปตามๆ กัน บริเวณยอดบนสุดของจุดชมวิวแห่งนี้อย่าว่าแต่จะกางขาตั้งกล้องถ่ายรูปเลย พื้นที่จะยืนถ่ายรูปก็แทบจะไม่มีให้ยืน พอยกกล้องจะถ่ายรูปยังไม่ทันที่จะกดชัตเตอร์ก็ถูกกระแทกข้างหลังจนเซไปเซมา ซึ่งกว่าจะได้ภาพสวนป่าหินบนมุมสูงมาฝากท่านผู้อ่านก็เล่นเอาเกือบลมใส่ เหมือนกัน


เสียดาย เวลามีจำกัดถ้ามีเวลามากกว่านี้และคนน้อยกว่านี้ภาพของสวนป่าหินจะออกมาแล่ มกว่านี้อีก ถ่ายรูปเสร็จรีบลงกันดีกว่าขืนอยู่นานมีหวังลมใส่แน่ๆ เมื่อเราลงมาถึงด้านล่างพื่อพักเหนื่อยจากการเบียดเสียดแย่งกันลงมา ยังนึกในใจแล้วตอนขาขึ้นดันแย่งกันขึ้นทำไม่ว๊ะ ขณะที่กำลังหาที่นั่งพักเหนื่อยอยู่ เรากได้ยินเสียงเอะอะโวยวายสไตล์จีนแท้ภาพที่เราทั้งสองคนเห็นนักท่อง เที่ยวล้อมวงกันใหญ่นึกว่าคนเป็นลมแต่ที่ไหนได้นักท่องเที่ยวกลุ่มนั้นกำลัง หัดเต้นรำแบบชนเผ่ากันอยู่นี่เอง ดีนะที่ไม่เข้าไปเป็นจีนมุงกับเขาไม่งั๊นหน้าแตกหมอจีนไม่รับเย็บแน่


เดิน ทางมาเที่ยวสวนป่าหินแล้วถ้าไม่รู้ประวัติความเป็นมาบ้างก็เหมือนกับยังมา ไม่ถึงสวนป่าหินเอาละครับผมจะเล่าให้ท่านฟัง “ สวนป่าหิน” อัญมณีน้ำงามแห่งเมืองคุนหมิงศูนย์กลางของมณฑลยูนานทักษิณทิศแห่งแผ่นดินจีน อันกว้างใหญ่ไพศาลมีพื้นที่300ตารางกิโลเมตรตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอลู่หนาน ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองคุนหมิงห่างจากเมืองคุณหมิงระยะทางประมาณ 126กม.สวนป่าหินแห่งนี้มีอายุอยู่ในราว 270 ล้านปี


ใน ขณะที่บริเวณสถานที่แห่งนี้ยังเป็นท้องทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาลสำหรับจุดที่ เป็นป่าหินคือตะกอนหินปูนที่ก่อตัวอยู่บริเวณใต้พื้นทะเลมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญคือเกิดการขยับตัวของเปลือกโลกอย่างรุนแรง ส่วนที่เป็นพื้นทะเลค่อยๆขยับตัวยกสูงขึ้นทีละน้อย ทีละน้อยจนในที่สุดกลายมาเป็นพื้นโลกหากแต่เป็นพื้นโลกที่มีลักษณะ เป็นภูเขาหินปูนตะปุ่มตะป่ำ


จาก นั้นเวลาก็ล่วงเลยมาจากสิบเป็นร้อยจากร้อยเป็นล้านปีและจากล้านเป็นสองล้าน ปีสายฝนและแรงลมได้ค่อยๆกัดเซาะภูเขาหินปูนจนกลายเป็นแท่งหินรูปทรงต่างๆ มากมายรวมเรียกอาณาบริเวณแห่งนี้ว่า “ซื่อหลิน”หรือ “สวนป่าหิน” อัญมณีน้ำงามแห่งมณฑลยูนนาน


ใน สมัยโบราณพื้นที่แห่งนี้อยู่ในเขตการปกครองตนเองของชาวซาหนี่ชนกลุ่มน้อยใน มณฑลยูนนานป่าหินจึงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวซาหนี่ ทุกวันนี้สวนป่าหินยังคงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวซาหนี่ และในทุกๆ ปี ช่วงเดือนหกตามปฎิทินจันทรคติของจีนชาวซาหนี่ในสวนป่าหินจะมีการเฉลิมฉลองที เรียกกันว่า “เทศกาลแห่งคบไฟ”จัดขึ้นตามตำนานเก่าแก่ที่เล่าสืบต่อกันมาว่า ในสมัยหนึ่งชาวซาหนี่ถูกกดขี่ข่มเหงโดยมารร้ายตนหนึ่งจนทุกข์ยากแสนสาหัสชาว สุหนี่พยายามก่อกบฏลุกฮือขึ้นมาก็ถูกมารร้ายฆ่าตายเป็นจำนวนมาก จนมีชายหนุ่มซาหนี่คนหนึ่งเอาคบไฟไปผูกติดกับเขาแพะฝูงหนึ่งจากนั้นจึงไล่ แพะให้วิ่งขึ้นไปบนภูเขาอันเป็นถิ่นที่อยู่ของมารร้ายจนในที่สุดมารร้ายก็ ถูกไฟเผาผลาญจนหมดสิ้น ชาวซาหนี่จึงจัดงานเฉลิมฉลองวีรกรรมอันห้าวหาญของชายหนุ่มคนนั้นโดยมีการ ร้องรำทำเพลงพร้อมดีดพิณสามสายอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวซาหนี่ พอตกกลางคืนก็จุดคบไฟสว่างไสวไปทั่วทั้งหมู่บ้านที่ผมเล่ามานี้เป็นเกร็ด ความรู้เล็กๆน้อยๆเพื่อให้ท่านได้เดินทางท่องที่ยวสวนป่าหินแห่งนี้ได้สนุก สนานยิ่งขึ้น


เรา สองคนเดินเที่ยวชมความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติจนได้ยินเสียงไกด์สาวจีนเรียกให้ ลูกทัวร์ขึ้นรถ จากนั้นจึงออกเดินทางจากสวนป่าหิน เดินทางไปรับประทานอาหารกลางวันกันยังร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกลจากสวนหินมาก นัก ร้านอาหารสะอาดสะอ้านจัดเป็นโต๊ะจีนโต๊ะละ10คนเราสองคน เลือกนั่งโต๊ะเดียวกันกับเหล่าอาซิ้มอาซ้อที่เรามองดูแล้วว่ามรรยาทดี คงจะไม่กินไปขากทุยไปให้เสียบรรยากาศในการรับประทานอาหารส่วนอาหารที่นำมาเส ริฟเป็นอาหารจีนรสชาติอร่อยกว่าอาหารจีนทุกมื้อที่ผ่านมาปริมาณมากจนกินแทบ ไม่หมด


เรา สองคนรับประทานอาหารไปคุยกับอาซิ้มอาซ้อไปสอบถามได้ความว่ามาจากมณฑลต่างๆใน ประเทศจีนบางคนก็เคยเดินทางมาท่องเที่ยวเมืองไทยแล้วส่วนใหญ่ชอบมาไหว้พระ บางคนก็มาเที่ยวเชียงใหม่และเกาะสมุยทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าชอบมา เที่ยวเมืองไทยมากถ้ามีโอกาศจะมาเที่ยวเมืองไทยอีกเราสองคนรับประทานอาหาร ด้วยความเอร็ดอร่อยจากนั้นจึงเดินออกไปเที่ยวชมสินค้าของที่ระลึกที่ชนเผ่า ต่างๆนำมาวางขายบริเวณหน้าร้าน


สมควร แก่เวลาจากนั้นไกด์ก็พาพวกเราขึ้นรถเดินทางไปช้อปปิ้งตามโปรแกรมที่วางไว้ใน ช่วงบ่าย แหล่งช้อปปิ้งแห่งแรกที่ไกด์จะพาเราสองคนและลูกทัวร์เดินทางไปฟันค่าหัวก็ คือโรงงานทำเครื่องเงินชานเมืองคุนหมิงซึ่งเป็นอาคารชั้นเดียว


ตลอด ทางเดินเท้าเข้าไปภายในติดตั้งตู้โชว์สินค้าจำพวกเครื่องเงินขนาดเล็กจนถึง ขนาดใหญ่ไว้ตลอดทางเดินพร้อมประวัติความเป็นมาของการทำเครื่องเงิน


เดิน เท้ามาจนสุดทางเดินเป็นห้องโถงขนาดใหญ่มีตู้กระจกโชว์เครื่องเงินแบ่งออก เป็นล๊อคๆแต่ละล็อคมีอาหมวยหน้าแฉล้มยืนยิ้มหวานคอยบริการลูกค้าเราสองคน เดินเที่ยวชมเหล่าอาหมวยแทนการชมเครื่องเงินที่อยู่ในตู้โชว์เพราะดูเครื่อง เงินไปต่อให้ถูกใจก็เท่านั้นถ้าไม่มีเงินซื้อ สู้ดูคนขายดีกว่าไม่เสียเงินแถมมีความสุขทางใจอีกด้วย


ดู ไปดูมาจนสมควรแก่เวลาจากนั้นจึงออกเดินทางต่อสำหรับแหล่งท่องเที่ยวแห่งที่ สองที่ไกด์จะพาลูกทัวร์ไปฟันค่าหัวก็คือ “เจ็ดสีแห่งยูนนาน”หรืออีกชื่อหนึ่งว่า “ รุ้งงามแห่งยูนนาน”


ซึ่งภายใน มีลักษณะเป็นสวนสาธารณะประดับประดาไปด้วยดอกไม้เมืองหนาวนานาพันธุ์โดยมี ทะเลสาปขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางมากมายไปด้วยฝูงปลานานาชนิด

บริเวณ โดยรอบของทะเลสาปเรียงรายไปด้วยอาคารขนาดใหญ่ซึ่งภายในเป็นห้างสรรพสินค้า จำหน่ายของฝากและของที่ระลึกตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบชอบใจสินค้าประ เภทไหนเชิญเลือกซื้อเลือกหาได้ตามใจชอบสินค้าทุกอย่างประทับตราว่าเมดอินไช น่าทุกชิ้นซึ่งถ้าเป็นทัวร์ไทยคงช้อปกันเงินหยวนกระจายแน่ๆ เราสองคนเดินเที่ยวชมไปเรื่อยๆจนสมควรแก่เวลาจากนั้นไกด์จึงพาเราสองคนพร้อม ลูกทัวร์เดินทางกลับสู่ตัวเมืองคุนหมิงเป็นอันสิ้นสุดโปรแกรมทัวร์แต่เพียง เท่านี้

อยาก จะแนะนำท่านผู้อ่านที่สนใจจะเดินทางมาเที่ยวเมืองคุนหมิงด้วยตัวเองว่าพอ เดินทางมาถึงเมืองคุณหมิงแล้วให้ซื้อเพ็คเก็จทัวร์จากบริษัททัวร์ต่างๆใน เมืองคุนหมิงเดินทางท่องเที่ยวไปตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆแบบทัวร์เช้าไปเย็น กลับจะราคาถูกกว่าเดินทางไปเที่ยวด้วยตนเองครับยกตัอย่างเช่นทัวร์สวนป่าหิน ที่เราสองคนพึ่งเดินทางไปเที่ยวมาราคาคนละ220หยวนแต่ถ้าเดินทางไปเที่ยวเอง ราคาจะแพงกว่านี้เท่าตัวครับสำหรับทัวร์ยอดนิยมในเมืองคุณหมิงมีอยู่3เส้น ทางครับ เส้นทางแรกคือสวนป่าหินที่เราสองคนพึ่งไปเที่ยวมาเส้นทางที่สองคือถ้ำเก้า หมู่บ้านเส้นทางที่สามคือประตูมังกรเขาตะวันตกทั้ง สามโปรแกรมทัวร์นี้บริษัททัวร์ในเมืองคุณหมิงจัดทุกบริษัทครับ สนใจโปรแกรมไหนเลือกได้ตามใจชอบครับเราสองคนเดินทางถึงเมืองคุนหมิงเมื่อ เวลาบ่ายคล้อย จากนั้นก็ใช้เวลาที่เหลือเดินเที่ยวในเมืองคุนหมิงซึ่งนอกจากจะเป็นแหล่ง ช้อปปิ้งที่มีชื่อเสียงในมณฑลยูนนานแล้วยังเป็นแหล่งอาหารการกินที่รสชาติ อร่อยแถมราคาถูกอีกด้วย


เมือง คุนหมิงจึงอุดมสมบูรณ์ไปด้วยร้านอาหารมากมายหลากหลายร้านเรียงรายอยู่เต็ม สองข้างทางซึ่งแต่ละร้านก็สรรหาสโลแกนแปลกๆ มาแปะไว้หน้าร้านเพื่อเรียกลูกค้าเข้าร้านตัวอย่างเช่น “เจ้ายุทธจักรเป็ดปักกิ่งแห่งเมือง อู่ ฮั่น” หรือ “ครั้งที่หนึ่งถ้าคุณไม่ลองกินเป็นความผิคของคุณ แต่ถ้าครั้งที่สองคุณไม่หวนกลับมากินอีกเป็นความผิดของเรา” สโลแกนแหล่มซะไม่มีเลยร้านอาหารในเมืองไทยร้านไหนสนใจจะลอกเลียนแบบเอา สโลแกนไปใช้บ้างก็ได้น่ะครับไม่หวงห้ามซึ่งนอกจากร้านอาหารประจำที่แล้วยัง มีร้านอาหารเคลื่อนที่หาบไปหาบมาตามฟุตบาทให้ลองลิ้มชิมรสอีกด้วย

เรา สองคนเดินเที่ยวไปกินไปจนอิ่มแทบจะไม่ต้องกินข้าวเย็นเลย นอกจากนี้บริเวณฟุตบาทที่เราสองคนเดินผ่านยังมีศิลปะบนทางเท้าให้ชมอีก ด้วย ศิลปินเหล่านี้ก็คือขอทานนั่นเองแต่เรียกให้ดูดีว่าผู้มาขอความช่วยเหลือจะ ดูรื่นหูกว่าชึ่งมีหลายเพศหลายวัยตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่เขียนบรรยายขอความ ช่วยเหลือเป็นภาษาจีนไว้บนทางเท้าพร้อมกับคำขอขอบคุณแก่ผู้มีพระคุณทุกท่าน ที่เดินผ่านไปมาด้วยถ้อยคำที่สละสลวยอ่านแล้วเกิดความสงสารชวนให้ทำบุญ


ถ้า เกิดเป็นที่เมืองไทยมาเขียนลงบนทางเท้าอย่างนี้มีสิทธิ์โดนเจ้าหน้าที่เทศ กิจลูกน้องของคุณอภิรักษ์ โกษะโยธิน เชิญตัวไปปรับแน่ๆ นอกจากนี้ยังมีทหารผ่านศึกวัยชรามีเหรียญตราติดอยู่เต็มหน้าอกแสดงถึงการ ผ่านสมรภูมิรบมาอย่างโชกโชนนั่งขอความช่วยเหลืออยู่ริมทางเดินอีกด้วย พร้อมสโลแกนเป็นภาษาจีนซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า “old soldiers never die” การที่ได้มีโอกาสมาเดินเล่นในเมืองคุนหมิงจึงเป็นสิ่งที่ท่านผู้อ่านไม่ควร พลาดช่วยสร้างสีสันในการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างยิ่งถ้ามีแรงเดินไหว


เรา สองคนเดินเที่ยวชมตึกรามบ้านช่องในเมืองคุนหมิงใหญ่โตมโหฬารอลังการงานสร้าง เป็นอย่างยิ่งคล้ายๆเดินอยู่ในมหานครนิวยอรค์อย่างไงอย่างงั้น ศูนย์การค้าอันใหญ่โตมโหฬารตลอดจนถนนหนทางที่กว้างใหญ่ระดับ 8-10 เลนเป็นเรื่องธรรมดาที่เราสามารถเห็นได้ทั่วไป ขนาดกำแพงเมืองจีนสิ่งมหัศจรรย์ของโลกพี่จีนของเรายังสร้างได้โอลิมปิคเกม กีฬาอันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติพี่จีนของเราก็ยังจัดมาแล้วนับประสาอะไรกับสิ่ง ก่อสร้างเด็กๆ แค่นี้มีหรือลูกหลานท่านประธานเหมาจะสร้างไม่ได้นี่ก็ได้ข่าวว่าพี่จีนกำลัง ส่งนักบินอวกาศเดินทางไปโคจรรอบโลกกันแล้วอีกสักสิบปีอาจจะได้ยินข่าวว่านัก บินอวกาศจีนนำธงชาติจีนไปปักบนดาวอังคารแซงหน้ามหาอำนาจอเมริกาก็เป็นได้ สำหรับระบบขนส่งมวลชนในเมืองคุนหมิงโดยเฉพาะรถเมล์ประจำทางมีระบบการเดินรถ และเส้นทางที่หลากหลายและราคาก็ถูกกว่าเมืองไทยมากสำหรับเส้นทางปกติคนละ 1 หยวน (5 บาท) เท่านั้น


พนักงาน ขับรถเมล์ส่วนใหญ่เป็นสุภาพสตรีครับอ่อนโยนสุภาพไม่ขับรถโลดโผนประเภท “เมล์นรก หมวยยกล้อ” เหมือนรถเมล์มินิบัสหรือรถร่วม ขสมก ในกรุงเทพฯซึ่งผู้โดยสารที่ขึ้นมาใช้บริการแต่ละครั้งต้องนั่งต้องตั้งนะโม สามจบสวดมนต์ให้หลวงพ่อที่ห้อยคอมาคุ้มครองไปตลอดทางไปตลอดทางบางคันกระเป๋า ตะคอกใส่ผู้โดยสารเหมือนขอขึ้นรถเมล์ฟรีซึ่งพบเห็นได้ทุกวันในกรุงเทพฯแต่ ที่คุนหมิงรับรองได้ว่าไม่มีครับ รถเมล์ทุกคันทุกสายมีป้ายไฟวิ่งบอกสถานที่ที่จะจอดป้ายต่อไปไว้หน้ารถมี ทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษครับไม่ต้องกลัวว่าจะเลยป้ายถ้าไม่นั่งเหม่อลอย หรือนั่งหลับจนคอพับไปเสียก่อนเพราะฉะนั้นสบายใจได้เลยครับว่าไม่เลยป้ายที่ จะลงแน่ๆการจอดรับส่งผู้โดยสารก็จอดสนิทสะดวกกับคนเฒ่าคนแก่และคนพิการ สำหรับป้ายรถเมล์ก็อยู่ข้างทางเหมือนเมืองไทยสำหรับรถเมล์ที่คุนหมิงมีหมาย เลขบอกเส้นทางเป็นภาษาอารบิก ที่นี่เขาจะใช้เบอร์แทนชื่อถนนครับจะไปยังถนนไหนก็จะต้องนั่งรถเมล์ของเบอร์ ถนนนั้นครับดังนั้นถ้าต้องการจะไปสถานที่ใดจะต้องทราบเสียก่อนว่าตั้งอยู่บน ถนนหมายเลขเท่าใดจึงจะขึ้นรถไปได้ถูกคันและถูกสถานที่ที่จะไปครับจากนั้นรถ เมล์ก็จะขับไปตามหมายเลขถนนและวนเวียนกลับมายังถนนสายเดิมเป็นเช่นนี้ตลอด ทั้งวันครับฉะนั้นการนั่งรถเมล์ในคุณหมิงจึงไม่ต้องกลัวหลงทางครับ


รถ เมล์จึงเป็นบริการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่ทางรัฐบาลจัดให้กับประชาชนที่ มีรายได้น้อยในราคาสมเหตุสมผลไม่มีการแอบขึ้นราคาโดยอ้างว่าน้ำมันแพงเหมือน กับรถมินิบัสและรถร่วมฯเมล์นรกหมวยยกล้อในกรุงเทพฯการบริการก็สุดแสนจะห่วย แตกแต่ราคาค่ารถจ้องที่จะขึ้นเอาขึ้นเอาไม่เอาเปรียบผู้โดยสารก็ไม่รู้ว่าจะ พูดอย่างไรส่วนผู้ใหญ่ในกระทรวงคมนาคมก็ได้แต่นั่งทำตาปริบๆพูดอะไรไม่ออก ไม่ทราบว่าถูกอะไรยัดปากอยู่ เอะอะอะไรก็โยนภาระให้กับประชาชนตาดำๆเช่นพวกเราๆท่านๆ ส่วนตัวเองไม่เดือดร้อนอะไรเพราะนั่งรถเก๋งไปทำงานทุกวันไม่รู้ว่าจะจ้างไว้ ให้เปลืองเงินภาษีอากรของประชาชนทำไมส่วนประชาชนเช่นเราๆ ท่านๆ ก็ก้มหน้าก้มตาชดใช้กรรมกันต่อไป หมดลมหายใจนั้นแหละครับถึงจะชดใช้กรรมหมด หึ่ม คิดแล้วเศร้าจากนั้นเราสองคนเดินผ่านสถานีรถไฟคุนหมิงซึ่งมีขบวนรถไฟเดินทาง ไปยังกรุงปักกิ่งและมณฑลต่างๆในประเทศจีนและยังเป็นต้นทางของบรรดารถเมล์สาย ต่างๆเดินทางรอบเมืองคุนหมิงก็มาเริ่มต้นกันที่นี่


เรา สองคนเดินผ่านห้างสรรพสินค้าชื่อดังในเมืองคุนหมิงชื่อแปลเป็นไทยว่า“ม้าทอง ไก่เพชร”ฟังดูแล้วจักกะจี้หูดีเราสองคนได้แต่เดินผ่านเท่านั้นแต่มิบังอาจ เข้าไปข้างในเพราะไม่มีเงินช้อบฯ ถึงมีเงินช้อบฯ ก็ไม่เข้าไปเพราะได้ทราบถึงกิติศัพท์ของสินค้าที่ผลิตจากจีนแล้วหนาวๆร้อนๆ แม้ว่าราคาจะถูกกว่าเมืองไทยมากก็จริงแต่คุณภาพของสินค้าก็ลดลงตามราคาไป ด้วย กลับมาช้อบปิ้งที่บ้านเราดีกว่าถึงอย่างไรก็พูดต่อรองกันรู้เรื่อง สินค้าคุณภาพไม่ดีมีสิทธิกลับไปเปลี่ยนได้อีก


เรา สองคนเดินมาถึงสถานีขนส่งคุนหมิงจากนั้นจึงเดินเข้าไปแหงนหน้าดูตารงการเดิน รถโดยสารจุดหมายปลายทางที่เราสองคนจะเดินทางต่อไปคือ เหมี่ยงล่าเมืองชายแดนจีน-ลาว รถออกคืนนี้เวลา 19.30 น. เพื่อนของผมเดินเข้าไปสอบถามพนักงานขายตั๋วปรากฏว่าตั๋วโดยสารรถนอนยังเหลือ อีกสองที่ซึ่งพอดีเราสองคน จากนั้นจึงจัดการจองตั๋วรถนอนในราคา 232 หยวน (1,160 บาท) ต่อคน


หลัง จากจองตั๋วเสร็จเรียบร้อยแล้วยังพอมีเวลาเหลืออีกสองชั่วโมงกว่ารถจะออกจึง เดินเท้ากลับมายังโรงแรมที่พักซึ่งอยู่ตรงข้ามกับสถานีขนส่งจัดการอาบน้ำ แต่งตัวพร้อมเก็บสัมภาระเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมเดินเท้ามายังสถานีขนส่งคุ นหมิงนั่งพักผ่อนพร้อมชมบรรยากาศภายในสถานีขนส่งเพื่อรอเวลารถออก

บริเวณ ลานจอดรถของสถานีขนส่งกว้างขวางใหญ่โตแต่ตัวอาคารมีขนาดเล็กบรรยากาศภายใน คั่บคั่งไปด้วยลูกหลานท่านประธานเหมาฯทั้งลากและหอบกระเป๋าเดินทาง เดินเข้าเดินออกไปมาจนตาลายภายในอาคารมีที่รับฝากกระเป๋าสัมภาระ 5 หยวนต่อวัน (25 บาท) มี เครื่องเอ็กซเร่ย์กระเป๋าทันสมัยเหมือนนครชัยแอร์บ้านเราแต่การบริการของนคร ชัยแอร์บ้านเรากินขาด มีห้องสูบบุหรี่ที่ไม่ค่อยจะมีใครให้ความสนใจเข้าใช้บริการเห็นเดินสูบ บุหรี่กันปุยๆหน้าตาเฉยเป็นบ้านเราถ้าเทศกิจตั้งโต๊ะปรับคงได้วันละหลาย สตังค์มีห้องสุขาให้บริการฟรีแก่ผู้ที่มีตั๋วโดยสารถ้าไม่มีตั๋วเสียคนละ 3 เหมา หรือเท่ากับหกสลึง ยังไม่ทันได้เข้าไปปลดทุกข์กลิ่นอันรัญจวนใจก็ลอยมาเตะจมูกเราสองคนเข้า อย่างจัง โผล่เข้าไปภายในห้องสุขาวดีก็ได้เห็นลูกหลานท่านประธานเหมานั่งยองๆ ทำหน้าเป็นทองไม่รู้ร้อนเรียงรายกันหน้าสลอนแถมบางคนนั่งสูบบุหรี่ฮัมเพลง หว่อ อ้าย หนี่ ไปด้วย มันช่างมีความสุขกายสุขใจกันเสียจริงน่ะเฟ้ยพรรคพวก เราสองคนกลั้นหายใจหลับตาตามสไตล์เดิมจนเสร็จสิ้นภารกิจจากนั้นจึงจ้ำอ้าวๆ ออกมาสูดอากาศภายนอก นั่งรอเวลารถออก สถานีขนส่งคุนหมิงนี้นอกจากจจะมีรถทัวร์โดยสารเดินทางไปยังมณฑลต่างๆทั่ว ประเทศจีนแล้วยังมีรถทัวร์โดยสารวิ่งระหว่างประเทศอีกด้วย เช่น คุนหมิง- เวียงจัน คุนหมิง-หลวงพระบาง


ดัง นั้นถ้าท่านผู้อ่านมีความประสงค์ที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวยังคุนหมิงโดยทาง รถยนต์สามารถเดินทางจากกรุงเทพฯมาขึ้นรถทัวร์โดยสารที่บริเวณตลาดจีนในนคร เวียงจันออกเดินทางมายังคุนหมิงโดยใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 24- 25ชั่วโมงในอัตราค่าโดยสารคนละ 1,500 บาท ถ้าเป็นรถนอนราคาประมาณ 1,800บาท รถออกเดินทางทุกวันเวลา 18.00 น.ระยะทางประมาณ1,355 กม. นั่งรถกันจนตูดด้านไปเลย

 เวลา 19.30 น. รถทัวร์โดยสารก็พาเราทั้งสองคนออกเดินทางจากคุนหมิงมุ่งหน้าสู่ เหมี่ยงล่าในทันทีซึ่งกว่ารถโดยสารจะหลุดรอดสภาพการจราจรอันติดขัดในเมือง คุนหมิงออกมาสู่ถนนไฮเวย์นอกเมืองได้ก็กินเวลาเดินทางไปประมาณ 30 นาที สำหรับสภาพของรถนอนจีนนั้นสภาพภายในรถก็มีลักษณะเหมือนกับรถทัวร์โดยสาร ประจำทางทั่วๆไปในบ้านเราจะแตกต่างกันเพียงที่นั่งถูกปรับสภาพให้เป็นที่ นอนสองชั้นจำนวน3 แถว ที่นอนก็พอดีตัวครับพอล้มตัวลงไปนอนแล้วจะพลิกซ้ายพลิกขวาแต่ละทีก็สุดแสนจะ ลำบาก คล้ายนอนอยู่ในโลงศพโดยเฉพาะผมที่นอนอยู่แถวกลางต้องนอนอย่างระมัดระวังตัว เป็นพิเศษเพราะมีสิทธิพลัดตกลงมาได้ถ้ารถตีโค้งเลี้ยวอย่างรวดเร็วผมว่านอน ตู้นอนรถไฟในเมืองไทยยังสบายและปลอดภัยกว่ารถนอนของจีนหลายเท่า


พอ ล้มตัวลงนอนเท่านั้นเสียงขากก็ดังลั่นสนั่นรถแต่ไม่มีเสียงถุยตามมาตามมา ด้วยกลิ่นบุหรี่เหม็นฟุ้งไปทั่วรถจนเพื่อนผมทนไม่ไหวต้องขอร้องเป็นภาษาจีน งูๆ ปลาๆ ว่าขอความกรุณาอย่าสูบบุหรี่จากนั้นกลิ่นก็จะหายไปพักใหญ่แล้วก็จะวนเวียน กลับมาอีกเป็นอย่างนี้ตลอดทางจนทำให้เราสองคนนอนหลับๆตื่นๆตลอดทางคิดในใจ ว่าถ้าเป็นเมืองไทยบ้านเราคงได้มีรายการศึกวันธงชัย “มวยไทยปะทะมวยจีน”ไปแล้ว รถทัวร์โดยสารวิ่งฝ่าความมืดไปตามเส้นทางหลวงไฮเวย์อันเรียบกริบสองข้างทาง มืดสนิทจนเราไม่สามารถเห็นวิวทิวทัศน์ภายนอกมาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังจนใน ที่สุดเราสองคนก็หลับไปด้วยหัวใจที่สุดแสนทรมาณเพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยนอน แข็งทื่อเหมือนท่อนไม้เช่นนี้เลย ความรู้สึกสุดท้ายก่อนที่เราจะข่มตาให้หลับๆลงไปเสียก็คือ “คิดถูกหรือเปล่าวะเนี่ย ที่มาขึ้นรถนอนเที่ยวทรมานสังขารและอารมณ์คันนี้”
วันที่ห้าของการเดินทาง
จากเหมี่ยงล่า สู่ ห้วยทราย

เรา ทั้งสองคนมาสะดุ้งตื่นอีกทีเมี่อได้ยินเสียงขากดังลั่นรถพร้อมกับเสียงตะโกน ว่า “ ถึงเหมี่ยงล่าแล้ว” เราสองคนถอนหายใจแบบโล่งอก นึกในใจว่าได้ไปผุดไปเกิดเสียทีแล้วซิกู จากนั้นจัดแจงขนสัมภาระลงจากรถเหลือบมองนาฬิกาเป็นเวลาหกโมงเช้า รวมระยะทางจากคุนหมิง-เหมี่ยงล่า 631 กม. ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมง จากนั้นเราสองคนเดินเท้าหอบสัมภาระมายังโรงแรมจินเซียวโฮเต็ล แปลเป็นไทยว่าโรงแรมสะพานทอง อยู่ติดกับสถานีขนส่งเหมี่ยงล่า ตกลงราคา40หยวน(200บาท)ขอใช้ห้องพักเพียงสองชั่วโมง แบบเดย์ยูส เพื่ออาบน้ำแต่งตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าเท่านั้น


จาก นั้นจึงออกมาเดินเล่นยังตลาดซื่อฉังในเหมี่ยงล่าพร้อมหาอาหารเช้ารับประทาน กันตลาดซื่อฉังในเมืองเหมี่ยงล่ายามเช้ากำลังคึกคักไปด้วยชาวจีนที่มาจับ จ่ายซื้ออาหารกันในยามเช้าซึ่งมีทั้งพืชผักผลไม้และเนื้อสัตว์นานาชนิดยก เว้น เนื้อจ๋อ (สุนัข)บรรยากาศภายในตลาดสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย

เรา สองคนเดินเที่ยวชมตลาดอย่างเพลิดเพลินจากนั้นจึงหาอาหารเช้ารับประทาน กันภายในตลาด ก๋วยเตี๋ยวเนื้อแพะคืออาหารเช้าของเราในมื้อนี้รสชาติพอรับประทานได้ ราคาชามละ 25 บาท


ตบ ท้ายด้วย อิ่วจาก๋วยหรือภาษาไทยเรียกว่า”ปาท่องโก๋”ส่วนกาแฟหารับประทานได้ยากเต็ม ทน จากนั้นเราสองคนจึงออกมาเดินเล่นไปตามถนนในเมืองเหมี่ยงล่า


สำหรับ เมืองเหมี่ยงล่าแห่งนี้ตั้งอยู่ในมนฑลยูนนานเป็นเมืองชายแดนที่มีพรมแดนใกล้ ชิดติดกับประเทศลาวและเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญของจีนคือใช้เป็นที่พัก สินค้าของจีนก่อนที่จะส่งเข้าไปขายในลาวและไทย และในช่วงสงครามอินโดจีน รัฐบาลจีนได้ใช้ถนนสายนี้เป็นเส้นทางส่งกำลังบำรุงไปให้ขบวนการประเทศ ลาวภายใต้การนำของท่านไกสอน พรหมวิหานรบกับลาวฝ่ายขวาที่ได้รับการสนับสนุนจากอเมริกา ภายในเมืองตึกรามบ้านช่องทันสมัยกำลังจะผุดขึ้นรองรับความเจริญของเมืองนี้ เราสองคนเดินต่อไปเรื่อยๆเนื่องจากเป็นเวลาเช้าบรรยากาศจึงยังไม่คึกคักเท่า ที่ควรเราเดินผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งหนึ่งที่กำลังคับคั่งไปด้วยลูกค้าเรา จึงตัดสินใจลองเดินเข้าไปดูเห็นกรรมวิธีทำเส้นก๋วยเตี๋ยวดูแปลกดีเลยสักมา ลองชิมดูหนึ่งชามราคาชามละ 20 บาท


รสชาติธรรมดาแต่กรรมวิธีในการทำเส้นนั้นอธิบายไม่ถูกคุณผู้อ่านดูภาพเอาเองก็แล้วกันครับ


จาก นั้นเราสองคนเดินเท้าต่อไปยังสถานีขนส่งเหมี่ยงล่าที่อยู่ใกล้ชิดติดกับ โรงแรมสะพานทองตรวจเช็คตารางการเดินรถซึ่งจากเหมี่ยงล่ามีบริการรถโดยสาร เดินทางไปยัง ห้วยทรายในแขวงบ่อแก้วของ สปป.ลาวทุกวัน อังคาร พฤหัส เสาร์ออกเวลา 10 โมงเช้า ระยะทาง 320 กม.ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6-7 ชั่วโมง อัตราค่าโดยสารคนละ 82 หยวน (410บาท)

และ จากห้วยทรายของลาวติดชายแดนไทยที่อำเภอเชียงของมีรถโดยสารเดินทางมายัง เมืองเหมี่ยงล่าทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ รถออกจากห้วยทรายเวลา 08.30 น.ในอัตราค่าโดยสารคนละ 170,000 กีบ ( 420บาท) แต่ถ้าท่านผู้อ่านที่สนใจจะเดินทางไปท่องเที่ยวยังสิบสองปันนาด้วยตัวเอง สามารถใช้บริการของรถมินิบัสเดินทางต่อไปยังสิบสองปันนาระยะทาง 136 กม.ค่าโดยสารคนละ 40หยวน (200บาท)ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง.และนอกจากนี้สถานีขนส่งเมืองเหมี่ยงล่ายังมีบริการรถโดยสารเดินทาง ไปยังเมืองคุนหมิงและมลฑลต่างๆ ในประเทศจีนได้โดยสะดวกแต่ท่านผู้อ่านจะต้องขอวีซ่าล่วงหน้ามาจากกรุงเทพฯ และเนื่องจากวันนี้เป็นวันเสาร์เราสองคนจึงจองตั๋วรถโดยสารเที่ยวเวลา 10.00 น.เดินทางออกจากเหมี่ยงล่ามุ่งหน้าสู่เมืองห้วยทรายให้ทันก่อนด่านตรวจคน เข้าเมืองไทย-ลาวจะปิดเวลา 18.00 น. รถโดยสารลาวที่บรรทุกทั้งคนทั้งสินค้าเต็มรถไปหมด


พา เราออกเดินทางไปตามเส้นทางไฮเวย์สี่เลนตามทางหลวงหมายเลข A 3 ผ่านอุโมงค์ลอดภูเขาน้อยใหญ่มุ่งหน้าสู่ด่านบ่อหานชายแดนจีน-ลาวในทันที


รถโดยสารใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที ก็พา เราสองคนเดินทางมาถีงยังด่านบ่อหานของจีน


ห่าง จากเหมี่ยงล่าระยะทาง 45 กม ผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าออกเมืองของจีนเป็นที่เรียบร้อยแล้วจากนั้นจึงนั่ง รถผ่านพื้นที่ทับซ้อน จีน-ลาว ระยะทางของ ด่านตรวจคนเข้าเมืองทั้งสองประเทศห่างกัน 1 กม. ถึงด่านบ่อหานของลาว


ผ่าน ขั้นตอนการตรวจสอบเอกสารจากเจ้าหน้าที่ของลาวเป็นที่เรียบร้อยแล้วจากนั้น จึงเดินทางเข้าสู่แผ่นดินลาว สำหรับด่านบ่อแตน- บ่อหาน จะเปิดให้บริการนักท่องเที่ยวตั้งแต่เวลา 08.00 -16.30 น. และคนท้องถิ่นตั้งแต่เวลา 07.30 -18.30 น. ซึ่งบริเวณด่านบ่อแตนนี้ถูกจัดเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยจะมีนักลงทุนชาวฮ่องกงมาเช่าพื้นที่ 1,600 เฮ็กต้าระยะเวลา 30 ปีโดยมีโครงการ 12 โครงการใหญ่ เช่นโรงแรม ขนาดใหญ่ 300 ห้อง บ่อนการพนัน สนามกอลฟ์ ห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาเก็ต สวนสนุกฯลฯ


โดย ใช้ภาษาจีนและเงินหยวนเท่านั้นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนให้มาท่องเที่ยว ในแดนลาวเหมือนกับบ่อนการพนันด่านปอยเปตทางฝั่งประเทศกัมพูชา ส่วนพี่ลาวของเราไม่ต้องลงทุนนั่งรับทรัพย์สบายไป จากนั้นรถโดยสารพาเราสองคนออกเดินทางสู่สามแยกนาเตยซึ่งอยู่ห่างจากด่านบ่อ แตนระยะทางประมาณ 18 กม.ตรงไปคือแขวงอุดมไชยระยะทาง 80 กม.จากนั้นรถโดยสารพาเราเลี้ยวขวาสู่หลวงน้ำทา ระยะทาง 37 กิโลเมตร รถโดยสารเดินทางถึงสถานีขนส่งหลวงน้ำทาเมื่อเวลาบ่ายคล้อยแวะรับประทานอาหาร กลางวันจากนั้นเดินทางต่อสู่เมืองห้วยทรายระยะทาง 175
กม.สภาพถนนลาดยางอย่างดีบนเส้นทางหลวงหมายเลข A3


ตลอด สองข้างทางเต็มไปด้วยท้องไร่ท้องนาอันเขียวชอุ่มของชาวลาวเบื้องหลังคือ เทือกเขาอันสลับซับซ้อน ระหว่างเดินทางฝนได้ตกลงมาอย่างหนักเส้นทางคดเคี้ยววกวนบางช่วงเกิดดินถล่ม ทับเส้นทางคนขับรถชาวลาวจึงต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวขับรถผ่านด่านอรหันต์ ไปได้อย่างทุลักทุเลไม่ต้องแย่งข้าวลิงกินกลางทางกว่าจะเดินทางถึงสถานีขน ส่งเมืองห้วยทรายเวลาก็ล่วงเลยมา 18.00 น จากนั้นขนสัมภาระลงจากรถโดยสารเดินทางด้วยรถสองแถวระยะทาง 7 กม.ค่าโดยสารคนละ 60 บาท ดินทางเข้สู่ตัวเมืองห้วยทราย


พอ เดินทางไปถึงตัวเมืองห้วยทราย ด่านตรวจคนเข้าเมืองปิดทำการพอดีจึงจำเป็นต้องหาที่พักค้างแรมในเมืองห้วย ทรายอีกหนึ่งคืนพรุ่งนี้ค่อยเดินทางข้ามฝั่งกลับสู่บ้านเรา เราเลือกเรือนพักอารีมิตรของคุณลุงสิงคำราคาคืนละ300บาท เป็นที่พักค้างแรมของเราในคืนนี้


จาก นั้นจัดการขนสัมภาระเข้าสู่ห้องพักปฎิบัติภาระกิจส่วนตัวเรียบร้อยแล้วออก มาหาอาหารค่ำรับประทานกันบริเวณร้านอาหารลาวริมแม่น้ำโขงจิบเบียร์ลาวเย็นๆ นั่งชมวิวทิวทัศน์ทางฝั่งไทย


พร้อม กับฮัมเพลงเดือนหงายที่ริมโขงของสุรพล สมบัติเจริญ จนเบียร์ลาวหมดไปหลายขวด จากนั้นจึงเดินเท้ากลับสู่เรือนพักเพื่อพักผ่อนเอาแรงไว้ในวันรุ่งขึ้นซึ่ง เราสองคนตกลงกันว่าพรุ่งนี้เช้าจะอยุ่ท่องเที่ยวในเมืองห้วยทรายสักครึ่งวัน จากนั้นตอนบ่ายถึงค่อยข้ามฝั่งกลับมายังบ้านเรา ก่อนนอนเราไม่ลืมไปติดต่อที่เคานท์เตอร์ให้ช่วยติดต่อรถนำเราเที่ยวชมเมือง ห้วยทรายเช้าวันพรุ่งนี้ คืนนี้ขอกล่าวคำว่า”ราตรีสวัสดิ์ครับ”

วันที่หกของการเดินทาง
City tour ในเมืองห้วยทราย

เช้า นี้เราตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันได้โห่ อาจจะเป็นเพราะเราคิดถึงเมืองไทยใจจะขาดรอนๆ ท่องเที่ยวตะลอนๆ มาตั้งสิบสองวัน จนสุดท้ายมาพักค้างแรมที่ห้วยทราย ซึ่งมองเห็นฝั่งไทยอยู่แค่ตรงหน้าคั่นก็เพียงลำน้ำโขง ใครที่เดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอนแล้วมาเห็นภาพอย่างที่เราเห็นก็คงจะมี ความรู้สึกอย่างเดียวกันกับเราทั้งสองคน หลังจากที่อาบน้ำอาบท่าเตรียมเก็บสัมภาระบรรดามีเสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็ ออกมาจากที่พักมาเดินชมบรรยากาศยามเช้าที่เงียบสงบเพราะร้านรวงของชาวบ้าน ยังไม่เปิดเราสองคน นั่งคุยกันอยู่พักใหญ่จากนั้นรถซูบารุสภาพกลางเก่ากลางใหม่ก็มาจอดที่หน้า เรือนพัก คนขับรถเดินมาสอบถามเราว่าใช่นักท่องเที่ยวที่ลุงสิงคำบอกว่าจะให้พาเที่ยว เมืองห้วยทรายเช้านี้หรือเปล่า เราสองคนรับคำว่าใช่พร้อมกับสอบถามเส้นทางและเวลาที่จะใช้ในการเดินทางท่อง เที่ยวชมเมืองห้วยทรายคร่าวๆ ก็พอสรุปได้ว่าถ้าจะท่องเที่ยวรอบใหญ่ก็ต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งวันเต็มๆ แต่เรามีเวลาแค่ครึ่งวันก็ไม่เป็นปัญหาเพราะสถานที่ท่องเที่ยวที่ไกลออกไป จากตัวเมืองสารถีเราทำการตัดออกจนเหี้ยนเต้ เหลือแต่สถานที่ท่องเที่ยวในรัศมีไม่เกินสิบกิโลเมตรจากที่พัก แหม ช่างสวนทางกับสโลแกนของเราสองคนเสียจริง เพราะพวกเรามีรัศมีการท่องเที่ยวไกล แถมยังมีอำนาจการกินรุนแรงอีกต่างหาก ไม่พูดพล่ามทำเพลงเรารีบก้าวขึ้นรถเพื่อไม่ให้เสียเวลาก็คงต้องแล้วแต่ความ กรุณาของพี่สารถีเขา เราสองคนมีหน้าที่เที่ยวตามใจพี่ละครับ นึกในใจสงสัยเวลาจะเหลือบานเพราะกำหนดเวลาของเราต้องไปถึงท่ารถทัวร์เชียง ของไม่เกินเวลาบ่ายสองโมง


สถาน ที่แรกที่เราจะเดินทางไปเที่ยวก็คือตลาดห้วยทรายเพื่อชมตลาดและหากาแฟกินยาม เช้า ตลาดห้วยทรายแห่งนี้เป็นแห่งเดียวกับที่เราสองคนเริ่มต้นเดินทางด้วยรถ โดยสารท้องถิ่นออกเดินทางไปยังเมืองอุดมไชยและเดินทางต่อไปยังเมืองเดียน เบียนฟูมาเมื่อสิบกว่าวันที่ผ่านมา วันนี้เราสองคนมาตลาดห้วยทรายในช่วงเช้าตรู่ขณะที่ตลาดยังไม่วายเราสองคน เดินชมบรรยากาศของตลาดสดยามเช้าซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างจาก


ตลาด สดตามต่างจังหวัดที่บ้านเรามากนัก เราสองคนเดินเป็นพระยาน้อยชมตลาดอยู่พักใหญ่ก็ได้ปาเตหรือขนมปังฝรั่งเศสใส่ ไส้ติดมือมากินกับกาแฟคนละอันในราคาอันละ 25 บาท หลังจากได้อาหารว่างรองท้องติดมือมาแล้วเราก็สอดส่ายสายตาหาร้านกาแฟที่มี อยู่เพียงไม่กี่ร้านสารถีของเราก็เหมือนรู้ใจเดินมาตามเราทั้งสองคนไปยัง ร้านกาแฟข้างตลาด ที่ดูแล้วสงสัยจะเป็นสภากาแฟของชาวลาวแถวนี้


เรา สั่งกาแฟนมมากินกับปาเตคนละจอก สนนราคาจอกละ 12 บาท กาแฟลาวรสชาติเข้มข้นเหมาะกับคอกาแฟโบราณรุ่นเดอะอย่างเราสองคนเป็นยิ่งนัก รสชาติทั้งขม หวานมันจนต้องยกนิ้วให้


นั่ง พักจิบชาร้อนๆล้างปากอยู่พักใหญ่เราก็ออกเดินทางไปยังวัดแก้วโพนสวรรค์วนา ราม ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ของเมืองห้วยทราย วัดแห่งนี้เป็นวัดเดียวในเมืองห้วยทรายที่มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดใหญ่ และที่สำคัญวัดแห่งนี้ได้รับหารบูรณะโดยความร่วมมือของสามประเทศ ได้แก่ ลาว ไทย และอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2518 โดยการบูรณะในครั้งนั้นได้ใช้สัญลักษณ์ช้างสามเศียรประดิษฐานไว้เหนือประตู ทางเข้าพระอุโบสถเพื่อเป็นที่ระลึก นักท่องเที่ยวที่มีเวลาท่องเที่ยวเมืองห้วยทรายก็มักจะต้องมาเที่ยววัดแก้ว โพนสวรรค์วนาราม เหมือนเป็นภาคบังคับ เพราะวัดนี้เป็นวัดที่โดดเด่นที่สุดในเมืองห้วยทรายจนต้องบรรจุอยู่ใน โปรแกรมท่องเที่ยวเพราะถ้าไม่เที่ยววัดนี้ก็ไม่รู้จะเที่ยววัดไหน


จาก ตลาดห้วยทรายเราใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 20 นาที เราก็เดินทางมาถึงวัดวัดแก้วโพนสวรรค์วนาราม ซึ่งวันนี้ตรงกับวันพระใหญ่พอดี เราจึงได้ชมชาวบ้านเดินทางมาตักบาตรกันที่วัด ซึ่งต่างจากวันธรรมดาที่พระและเณรจะเดินบิณฑบาตรโปรดญาติโยมเหมือนกับที่ บ้านเราคุ้นเคยกัน

เรา เดินทางมาถึงวัดในช่วงที่ชาวบ้านกำลังเตรียมข้าวของเพื่อใส่บาตร ทั้งผุ้เฒ่าผู้แก่ ลูกเด็กเล็กแดง เตรียมตัวนั่งพับเพีบบกันบนเสื่อที่ปูรองนั่งกันเป็นแถวรอเวลาที่พระจะเดิน มารับบาตร สักพักใหญ่พระเณรก็มาตั้งแถวเมื่อเห็นว่าชาวบ้านพร้อมกันแล้วขบวนแถวตอน เรียงหนึ่งของพระเณรก็ก็เดินมารับบาตรจากญาติโยมที่คุกเข่ารอใส่บาตร การใส่บาตรของชาวลาวออกจะต้องเตรียมพร้อมไม่ต้องมาอธิฐานหน้าหลวงพ่อให้เสีย เวลา

พอ พระมาก็ใส่บาตรได้เลยเป็นธรรมเนียมที่รู้กัน ทั้งข้าวเหนียว ขนมขบเคี้ยว ใส่ลงในบาตร ปัจจัยกับดอกไม้ก็ใส่ย่ามใส่ถุงที่พระเณรท่านถือมาตามสะดวก ส่วนอาหารคาวชาวบ้านจะไปประเคนอีกครั้งหลังจากพระสวดในโบสถ์เรียบร้อยแล้ว

เมื่อ พระเณรเดินรับบาตรจากญาติโยมจนครบหมดเรียบร้อยแล้วก็จะไปตั้งแถวสวดมนตร์ให้ พร ญาติโยมก็จะกรวดน้ำในระหว่างที่พระสวดจนจบ ก็เป็นอันเสร็จสิ้นการตักบาตรเช้า หลังจากนั้นหากใครไม่มีธุระปะปังก็จะเดินเข้าไปร่วมฟังเทศน์ฟังธรรรมกันในโบ ส์

ส่วน ใครที่มีธุระต่อก็จะเดินไปไหว้พระพุทธไสยาสน์ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่ศาลาหลัง พระอุโบสถ์ เราเดินตามไปกราบพระพุทธไสยาสน์เพื่อเป็นศิริมงคลกันก่อนที่จะออกเดินทางกัน ต่อ


จากวัด แก้วโพนสวรรค์วนารามเราเดินทางต่อไปยังตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดที่รวมเอาสินค้าหลากหลาย อาทิ เครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องไฟฟ้าราคาถูก โดยเฉพาะมือถือจากประเทศจีนมาจำหน่าย


สารถี ที่กลายมาเป็นไกด์ส่วนตัวของเราอธิบายว่า “คนจีนจากแผ่นดินใหญ่มาลงทุนค้าขายกันที่ลาวเยอะมากไม่เว้นแม้แต่เมืองห้วย ทรายแห่งนี้เรียกได้ว่าทุกเมืองในลาวมีตลาดจีนหมด ส่วนใหญ่แล้วเจ้าของร้านค้ามักจะเป็นผู้ที่จบการศึกษาในระดับปริญญาจากจีน แล้วหางานที่เหมาะสมทำไม่ได้เลยหาเงินทุนมาลงทุนค้าขายกันที่เมืองห้วยทราย สำหรับ สินค้าในร้านแทบจะทั้งหมดมักจะสั่งตรงมาจากประเทศจีน ซึ่งมีราคาที่ถูกกว่านำเข้าจากประเทศไทย”


ซึ่ง ก็สมกับคุณภาพ ถ้าไม่คิดอะไรมาก ใช้เสียแล้วก็ทิ้ง ไม่ต้องซ่อมให้เปลืองเวลา เพราะราคาค่าอะไหล่กับค่าแรงเผลอๆ จะแพงกว่าซื้อใหม่เป็นเท่าตัว แต่มาคิดอีกทีของไม่มีคุณภาพก็ไม่ต่างอะไรกับขยะที่เขาฝากมาเก็บไว้ที่บ้าน เรา ยิ่งประเทศจีนขายสินค้าราคาถูกคุณภาพต่ำให้กับประเทศไหน นานวันสินค้าเหล่านั้นก็จะกลายเป็นขยะ ล้นเมืองให้กับประเทศลูกค้าที่อยากได้ของถูกโดยไม่คำนึงถึงอนาคต ยิ่งถ้าไม่มีการจัดการนำกลับมาใช้ใหม่ด้วยแล้ว หลับตานึกเอาก็พอจะมองภาพออก


เรา ทั้งสองคนได้แต่เดินชมสินค้าตามร้านอยู่พักใหญ่ก็ออกเดินทางกันต่อ พ่อค้าแม่ขายชาวจีนก็คงงวยงงที่เห็นเรามาเดินท่อมๆ ดูๆ แล้วก็เดินจากไปไม่ได้อุดหนุนสินค้าราคาถูกซักอย่าง
จากตลาดจีนเราเดิน ทางต่อไปยังหมุ่บ้านต้มเหล้าของชาวลาวเผ่าลื้อ ซึ่งจากภายนอกที่มองเข้าไปถ้าไม่ทราบมาก่อนก็จะไม่ทราบเลยว่าที่นี่เป็น หมู่บ้านต้มเหล้า เพราะไม่มีจุดสังเกตอะไรสักอย่าง มีเพียงร้านขายขนมขบเคี้ยวที่มีขวดใส่น้ำวางเรียงอยู่หน้าร้าน อยู่ฝั่งตรงข้ามหมู่บ้านต้มเหล้าเท่านั้น แล้วบ้านแต่ละหลังก็ออกจะดูเป็นบ้านที่มีฐานะดีกว่าหมู่บ้านชาวลาวทั่วๆ ไปที่เราเห็นระหว่างที่เดินทางมา


เรา ยังคิดกันว่าสงสัยจะเป็นเพราะหมู่บ้านนี้ต้มเหล้าขายจนมีฐานะดีกว่าหมู่บ้าน อื่น แต่จากการสอบถามไกด์จำเป็นของเราก็กลับกลายเป็นว่า แต่ละบ้านในย่านนี้ล้วนมีลูกสาวมีสามีเป็นทหารอเมริกัน ที่มาทำสงครามอินโดจีนเมื่อราวทศวรรษที่ 70 กันหมด ครั้นเมื่อสงครามสงบแล้ว ลูกสาวของแต่ละบ้านก็เดินทางติดตามสามีกลับประเทศ ก่อนที่จะส่งเงินกลับมาช่วยเหลือครอบครัวจนแต่ละบ้านมีฐานะความป็นอยู่ที่ดี จนแทบจะไม่ต้องดิ้นรนทำมาหากินอะไร

แต่ อย่างว่าด้วยนิสัยขยัน ไม่รู้ว่าขยันการดื่มหรือขยันการงาน อยู่ว่างๆ ไม่รู้จะทำอะไรก็ต้องล้อมวงสังสรรค์กันหน่อย แต่แหมบรรยากาศดีๆ มาเจอกับสุรารสชาติเหมือนน้ำล้างหัวเหน่งก็ออกจะกระไรอยู่ ด้วยความที่เหล้าต้มเหล้าสีของหมู่บ้านถิ่นอื่นรสชาติไม่ค่อยจะถูกปากถูกคอ ชาวบ้านย่านนี้ซักเท่าไหร่ นานวันเข้าก็ก็เกิดคิดออกว่า เอ้อ..อันสูตรหมัก ต้มเหล้าของหมู่เฮาชาวลื้อแต่ใดมา ก็เป็นหนึ่งในยุทธจักรวงการ ส.ร.ถ.(สุราเถื่อน) มัวจะมาเสียลิ้นกับเหล้าหมู่อื่นเห็นจะเสียเหลี่ยมเสียรังวัดมากเกินไป ถ้าขึ้นสวรรค์ไปเจอบรรพบุรุษอาจจะถูกเขกกะโหลกเอาได้ คิดได้ดังนั้นแต่ละบ้านในย่านนนี้จึงงัดเอากลเม็ดเด็ดพราย สูตรหมักข้าวเหนียวผสมสมุนไพรบรรรดามี มาต้มมาบ่มมาแช่ แล้วกลั่นชิมกันจนหัวทิ่มหัวตำกันหลายมื้อ จนในที่สุดก็ได้เหล้าขาวที่ลงตัวทั้งสีสันที่ใสอย่างกับตาตั๊กแตน กลิ่นที่หอมจนคอสุราน้ำลายสอ และที่สำคัญก็คือดีกรีที่แทบจะไม่ต้องวัดเพราะวัดยังไงก็จุดไฟติด จนคนต้มเหล้าต้องเพลาๆ ดีกรีลงหน่อยเดี๋ยวลูกค้าจะไส้ขาดกันหมด ดีกรีของเหล้าขาวที่หมู่บ้านเผ่าลื้อแห่งนี้จึงมีให้เลือกตั้งแต่ 60 ดีกรี ไปจนถึงเหล้าหัว 90-100 ดีกรี สุภาษิตจีนในหนังสือนิยายกำลังภายในที่ว่า “ พบเพื่อนรู้ใจ ดื่มสุราพันจอกก็ไม่เมา” เห็นทีจะใช้กับเหล้าของที่นี่ไม่ได้ มือต้มเหล้าประจำร้านรับประกันว่า “ขวดเดียวเอาอยู่” สนนราคาเหล้าขาวใส่ถุง 30 บาท แต่ถ้าใส่ขวด 750 มล. คิด 50 บาท หรือตก 15,000 กีบ ถ้าปีศาจสุราท่านใดสนใจจะเอามาอาบแทนน้ำ 20 ลิตร ทางร้านคิดเพียง 500 บาท ว่าแต่ว่าต้องหาข้ออ้างบอกกับเจ้าหน้าที่ของศุลกากรฝั่งไทยให้ท่านเชื่อก็ แล้วกัน


เรา อุดหนุนเหล้าขาวของทางร้านมา 1 ขวด เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจพ่อเฒ่าที่อุตสาห์บรรยายสรรพคุณเสียยืดยาวเป็นหางว่าว ว่าถ้าได้เอามาดองกับสมุนไพรพื้นบ้านละก็ เตะปี๊ปข้ามโขงไปตกฝั่งไทยได้เลย อุ๊แม่เจ้าโว๊ย ขนาดนั้นเชียว เราเลยบอกกับพ่อเฒ่าก่อนที่จะอำลากันว่า “ถ้ามื้อหน้า มีปี๊ปไม่ปรากฏสัญชาติ มาหล่นตุ๊บที่หน้าร้านพ่อเฒ่าละก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะเป็นปี๊ปของผมเองที่เตะมาจากฝั่งไทย เพื่อยืนยันว่าเหล้าของพ่อเฒ่านี้เด็ดจริงสมคำร่ำลือ ก็อนุญาตให้พ่อเฒ่าเก็บปี๊ปไว้เพื่อยืนยันกับลูกค้ารายใหม่ได้เลย
จาก หมู่บ้านต้มเหล้าเผ่าลื้อ เราเดินทางต่อไปยังท่านเรือห้วยทราย ซึ่งเป็นท่าเรือบั๊กสำหรับนักท่องเที่ยวและชาวบ้านที่เดินทางสัญจรข้ามแม่ น้ำโขงไปมาโดยใช้รถยนต์


ซึ่ง ที่นี่นอกจากจะเป็นท่าเรือบั๊กแล้วยังเป็นท่าเรือสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะ เดินทางไปยังหลวงพระบางอีกด้วย เส้นทางจากท่าเรือห้วยทรายผ่านปากเเบง ไปยังหลวงพระบาง มีให้เลือกตามอัธยาศัย ถ้าเป็นเรือวันเดียวจะมีเที่ยวเรือออกจากท่าเรือห้วยทราย เวลา 08.00 น. เดินทางไปถึงหลวงพระบาง เวลา 18.00 น. อัตราค่าโดยสาร 220,000 กีบ หรือเทียบเป็นเงินไทยประมาณ 880 บาท ส่วนเรือสองวันออกเดินทางจากท่าเรือห้วยทรายเวลา 10..30 น. แล้วไปพักค้างแรมที่ปากเเบง 1 คืน ออกเดินทางจากปากเเบง 09.00 น. เดินทางถึงหลวงพระบางราว 17.00 น.อัตราค่าโดยสาร 190,000 กีบ หรือเทียบเป็นเงินไทยประมาณ 760 บาท สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนอาจจจะมีการเปลี่ยนแปลงควรแลกเงินเป็นเงินกีบเพื่อ สะดวกในการใช้จ่าย


ส่วน นักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางไปเพียงครึ่งทางเพื่อไปลงที่ปากเเบง ราคาค่าโดยสาร 110,000 กีบ ที่ปากเเบงมีห้องพักให้เลือกคืนละตั้งแต่ราคา 300 บาทขึ้นไป สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางกันมาเป็นหมู่คณะ 40-50 ท่าน แนะนำให้ใช้บริการเหมาเรือที่ท่าเรือห้วยทรายได้เลย มีให้เลือกหลากหลายผู้ประกอบการ อีกทั้งยังมีสมาคมผู้ประกอบการเดินเรือสามารถติดต่อใช้บริการได้


แต่ แนะนำว่าถ้ามีเวลาให้เดินสำรวจเลือกเรือที่ชอบใจเองจะดีกว่า เผลอๆอาจจจะต่อราคาจากเจ้าของเรือได้อีก หากติดต่อผ่านสมาคมจะได้ราคาเรือวันเดียว 8,750,000 กีบ ส่วนเรือสองวัน 7,000,000 กีบ เรื่องอาหารการกินไม่ต้องเป็นห่วงเพราะเรือที่เราเช่ามานี้สามารถให้บริการ เรื่องอาหารการกินได้สบาย สนนราคาคิดเป็นหัวเหมือนบ้านเรา แล้วแต่เมนูอาหารว่าจะต้องการอย่างไรอาหารลาวหรืออาหารไทย

เรา สอบถามรายละเอียดการเดินทางและราคาอยู่พักใหญ่ก็ต้องขอตัวกลับที่พักเพราะดู เวลาแล้วเราคงไม่มีเวลาท่องเที่ยวเมืองห้วยทรายได้มากกว่านี้ ถ้าข้ามฝั่งกลับไปอำเภอเชียงของไม่ทันเราอาจจะตกรถทัวร์จนต้องนอนค้างคืน ที่เชียงของอีกหนึ่งคืนก็เป็นได้


คิด ดังนั้นเราสองคนจึงตกลงกลับที่พักไปอาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวเก็บสัมภาระจาก นั้นข้ามฝั่งไปยังฝั่งไทยเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯโดยไม่ต้องรีบร้อนจะดี กว่าไม่ถึง 10 นาที จาก ท่าเรือห้วยทราย(ท่าเรือบั๊ก) เราสองคนก็เดินทางมาถึงที่พัก ระหว่างทางเราสวนกับนักท่องเที่ยวสไตล์แบ๊คแพกเกอร์กลุ่มใหญ่ที่กำลังจำเดิน ทางไปยังหลวงพระบางโดยเรือเที่ยว 2สองวัน ที่กำลังจะเดินทางออกไปในเช้านี้ ดูแล้วนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นชาวยุโรป-อเมริกา เสียมากหลักจากเช็คเอาท์ออกจากเรือนพักอารีมิตร แล้วเราก็เดินเท้ามายังท่าเรือ ที่ตั้งด่านตรวจคนเข้าเมืองห้วยทราย ซึ่งห่างจากที่พักเราไม่ถึง 200 เมตร


วันนี้ เป็นวันหยุดราชการของ สปป. ลาว แต่มีเจ้าหน้าที่ให้บริการตามปกติ ที่ไม่ปกติก็คือเราต้องจ่ายค่าธรรมเนียมล่วงเวลาให้กับเจ้าหน้าที่ 10 บาท ประมาณ 2,500 กีบ หลังจากรับพาสสปอรต์คืนเรียบร้อยแล้วเราก็เดินลงมาซื้อตั๋วเรือข้ามฝั่งโขง อีกคนละ 7,500 กีบ ประมาณ 30 บาท หากผู้โดยสารท่านใดมีกระเป๋าใบใหญ่ ต้องเพิ่มค่าโดยสารอีกคนละ 10 บาท เราสองคนรอดตัวไปเพราะเราทั้งสองคนตัวใหญ่กว่ากระเป๋า


เรือ โดยสารข้ามฟากที่เราใช้บริการนี้ไม่ต้องรอผู้โดยสารเต็มลำก็ออกเรือบ่ายหน้า สู่ฝั่งไทย สงสัยว่าจะเป็นเฉพาะลำที่เรานั่งหรือเปล่าก็สุดจะเดา


หลัง จากที่เราดำเนินการประทับตราเข้าประเทศเรียบร้อยแล้วเราก็เดินเท้ามาเรียกรถ ซูบารุที่ท่ารถให้ไปส่งที่ท่ารถสยามเฟิรส์ทัวร์ ดูแล้วเวลายังเหลือพอจะเที่ยวต่อได้อีกนิดหน่อยเลยขอเหมาซูบารุต่อให้พาไป เที่ยววัดหาดไคร้ ไปรำลึกความหลังเสียหน่อย แต่มีข้อแม้ต้องรอให้เราซื้อตั๋วและฝากสัมภาะรให้เรียบร้อยเสียก่อน หลังจากที่เราได้ตั๋วโดยสารสองใบด้วยความโชคดีที่มีผู้โดยสารมายกเลิกหลัง จากที่รอลุ้นเกือบครึ่งชั่วโมง เราจึงได้ฤกษ์ออกเดินทางไปยังวัดหาดไคร้ ซึ่งอยู่ไม่ห่างจ่าท่ารถทัวร์นัก เพียง 10 นาที เราก็มายืนอยู่ที่ลานจอดรถหน้าวัดหาดไคร้ ที่วันนี้ดูเงียบเหงาไร้เงานักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเที่ยวเหมือนเมื่อครั้ง มีงานเทศกาลจับปลาบึก


ยัง จำได้ว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อนผมเดินทางมาถ่ายภาพการจับปลาบึกที่นี่ บรรยากาศวันนั้นลานหน้าวัดแทบแตก เพราะผู้คนจากทั่วสารทิศต่างเดินทางมารวมกันที่นี่ที่เดียว ทั้งนักท่องเที่ยวที่อยากจะมาชมการจับปลาบึกโดยใช้มอง หรือ ตาข่าย จับปลาบึก ซึ่งทำมาจากปอที่นำมาฟั่นเป็นเชือกนำมาสานกันเป็นตาข่าย


พอ ได้ปลาบึกแต่ละที ทั้งชาวบ้าน ทั้งเจ้าหน้าที่กรมประมงก็เฮโลเข้ามามุงทำหน้าที่ของแต่ละคนไป นักท่องเที่ยวก็เข้ามาลูบไล้จับปลา พ่อค้าก็เข้ามาดูปลาเพื่อตีราคาและต่อรองกับเจ้าของปลาบึก ส่วนเจ้าหน้าที่กรมประมงก็ต้องรีบเร่งทำงานแข่งกับเวลา เพื่อรีดน้ำเชื้อหรือไข่ปลาก่อนที่ปลาบึกที่บอบช้ำจากตาข่ายที่รัดตัวจำถูก ขายต่อให้พ่อค้าที่เอารถมาเทียบรอขนปลาขึ้นรถ


ตั้ง แต่ครั้งนั้ทุกปีที่มีเทศการจับปลาบึกผมก็มักจะติดตามข่าวคราวจำนวนปลาที่ ชาวบ้านจับได้ว่ามีจำนวนลดลงเพียงใด ไม่ได้หวังว่าปลาบึกจะรอดจากมองของชาวบ้านกลับขึ้นไปต้นน้ำเพื่อจับคู่วาง ไข่หรอกครับ เพราะว่าแหล่งวางไข่ที่ต้นน้ำนั้นนับวันก็ลดน้อยลงทุกที ยิ่งได้ทราบว่าทางประเทศจีนสร้างเขื่อนบนแม่น้ำลานซาง (แม่น้ำโขง) ในประเทศจีนเสร็จเรียบร้อยแล้ว สองเขื่อน คือ เขื่อนม่านวาน และเขื่อนต้าเฉา จากจำนวนเขื่อนที่ทางการจีนจะสร้างทั้งหมด 8 เขื่อน คิดแล้วก็ถอดใจลุ้นครับ คงต้องหวังให้กรมประมงขยายพันธ์ปลาบึกปล่องลงในแหล่งน้ำบ้านเราให้มากๆ ถึงแม้ว่าปลาบึกที่โตในแหล่งน้ำที่ไม่ใช่แม่น้ำโขงจะมีขนาดเล็กกว่าก็เถอะ
เรา เดินชมบรรยากาศหน้าวัดหาดไคร้อยู่พักใหญ่ก็เดินทางกลับไปยังท่ารถเพื่อหา อาหารรับประทานกันก่อนที่จะถึงเวลารถออก ที่ร้านอาหารข้างท่ารถสยามเฟิรส์ทัวร์ เป็นร้านข้าวซอย มีบริการอาหารตามสั่งด้วย เราสั่งข้าวซอยมาชิมคนละชาม รสชาติอร่อยลิ้นจนเราตั้งสั่งมาเพิ่มอีกคนละชาม กินข้าวซอยร้านนี้แล้วลืมรสชาติอาหารบ้านอื่นเมืองอื่นไปเลยครับ ใครที่เดินทางท่องเที่ยวเส้นทางนี้หิ้วท้องกลับมากินข้าวบ้านเรารับรองไม่ ผิดหวัง ทั้งรสชาติ ราคาและความรู้สึก หลังมื้ออาหารเราตบท้ายด้วยกาแฟร้อนอีกคนละแก้ว ก่อนที่จะเหลียบไปเห็นสายตาเว้าวอนแกมขอร้องของพนักงานขับรถ ที่ส่งมาเชื้อเชิญเรา ดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วก็ต้องตกกระใจ อร่อยเพลินจนลืมเวลา ถ้าไม่เหลือบไปเหน็นเสียก่อนส่งสัยคนขับรถทัวร์คงจะให้เราออกกำลังกายโดย วิ่งตามรถเป็นแน่ เราเรียกเด็กในร้านให้มารีบเก็บเงินก่อนที่เราจะเดินส่ายพุงเหมือนคนท้องแก่ ขึ้นไปนอนยาวบนเบาะนวดไฟฟ้า


อรับ อาหารว่างเรียบร้อยแล้วเราก็ตีตั๋วนอนยาวจากอำเภอเชียงของ มาถูกปลุกด้วยเสียงหวานๆของโฮสเสตทให้ลงไปรับประทานดินเนอร์ใต้แสงนีออนโดย ให้เวลาแค่ 20 นาที ทำเอาเราถอดใจเพราะยังอิ่มกับมื้อเย็นก่อนขึ้นรถอยู่เลยขอเปลี่ยนเป็น เครื่องดื่มดีกว่า เราลงไปยืดแข้งยืดขาอยู่พักใหญ่เจ้าหน้าที่ก็ประกาศให้ผู้โดยสารที่เดินทาง มากับรถทัวร์เชิญขึ้นรถได้ ขึ้นรถมาได้ผู้โดยสารแต่ละคนก็ตีตั๋วนอนกันหมดตามเคย หลับไปอีกครั้งมสะดุ้งตื่นอีกทีรถก็เข้าเขตกรุงเทพฯ เสียแล้ว ดูเวลาเกือบจะตีห้า ใช้เวลาในการเดินทาง 12 ชั่วโมงเป๊ะ เราก็มาสิ้นสุดการเดินทางที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) เป็นอันจบโปรแกรมการเดินทางท่องเที่ยว 4 ประเทศ ของทีมงาน idotravellers แต่เพียงเท่านี้ แล้วพบกันใหม่ในการเดินทางครั้งต่อไปครับ...
ท่านที่มีความประสงค์ เดินทางเป็นหมู่คณะสนใจโปรแกรม กรุงเทพฯ - คุนหมิงและกรุงเทพฯ - เดียนเบียนฟู -ซาปา เดินทางโดยรถยนต์ ติดต่อสอบถามได้ที่
บริษัท อินโดไชน่า เอ็กซ์พลอเรอร์ (ประเทศไทย) จำกัด
104/268-269 หมู่ 8 ถนนเอกชัย บางบอน บางบอน กรุงเทพมหานคร 10150
โทรศัพท์ : 0-2898-1817, 0-2898-2324 โทรสาร : 0-2898-0059 ต่อ 0
www.indochinaexplorer.com
www.idc-explorer.com
E-mail : wonder7th@yahoo.com
ข้อมูลการเดินทางจากเดียนเบียนฟู - ซาปา - คุนหมิง - เหมี่ยงล่า - ห้วยทราย- เดียนเบียนฟู - ซาปา ระยะทาง 300 กม. ค่ารถตู้ 128,000 โด่ง (380บาท)
- ซาปา - ล่าวก๋าย ระยะทาง 35 กม. ค่ารถตู้ 35,000 โด่ง (100บาท)
- ล่าวก๋าย - คุนหมิง ระยะทาง 471 กม. ค่ารถทัวร์โดยสาร 116หยวน (600บาท)
- คุนหมิง - เหมี่ยงล่า 631 กม. ค่ารถนอน 232 หยวน (1,160บาท)
- เหมี่ยงล่า - ห้วยทราย ระยะทาง 275 กม.ค่ารถทัวร์โดยสาร 82 หยวน (410 บาท)
- เชียงของ - กรุงเทพฯ ระยะทาง 957 กม. ค่ารถทัวร์โดยสาร 848 บาท

ข้อมูลการเดินทางจาก กรุงเทพฯ - คุณหมิง สำหรับนักท่องเที่ยวที่มีความประสงค์จะเดินทางไปท่องเที่ยวยังเมืองคุนหมิงโดยทางรถยนต์
ด้วยตนเองทางทีมงานidotravellers มีเส้นทางให้เลือก 2 เส้นทางดังต่อไปนี้
 เส้นทางที่ 1 จากกรุงเทพฯเดินทางโดยรถทัวร์โดยสารไปยังจ.อุดรธานีหรือหนองคาย จากนั้นนั่งรถโดยสารระหว่างประเทศ ไทย – ลาว เดินทางข้ามสะพานมิตรภาพ ไทย – ลาว เดินทางไปยังนครเวียงจัน บริเวณสถานีขนส่งในนครเวียงจันติดกับตลาดจีนมีรถโดยสารระหว่างประเทศทั้งรถ นอนและรถนั่งเดินทางไปยัง เมืองคุนหมิงประเทศจีนทุกวันรถโดยสารออกเดินทางประมาณ 18.00 น ถึงเมืองคุนหมิงหกโมงเย็นของวันรุ่งขึ้น สำหรับรายละเอียดระยะทางมีดังต่อไปนี้
กรุงเทพฯ - หนองคาย 615 กม.
หนองคาย - เวียงจัน 22 กม.
เวียงจัน - ด่านบ่อแตน(ลาว) 678 กม.เส้นทางหมายเลข 13 และ 1 ของลาว
 ด่านบ่อแตน (ลาว) - ด่านบ่อหาน 1 กม.
บ่อหาน - เหมี่ยงล่า 45 กม.
เหมี่ยงล่า - คุนหมิง 631 กม. เส้นทางหลวงหมายเลข 3 Aของจีน
 รวมระยะทาง กรุงเทพฯ เวียงจัน- คุนหมิง 1992 กม.


เส้นทางที่ 2 จากกรุงเทพฯ เดินทางทัวร์โดยสาร ไปยัง อ. เชียงของ จ เชียงราย จากนั้นนั่งเรือข้ามแม่น้ำโขง
ไป ยังเมืองห้วยทรายในแขวงบ่อแก้ว สปป.ลาวผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองของลาวเปิดทำการตั้งแต่เวลา 08.00- 18.00 นจากนั้นนั่งรถสามล้อเครื่องจากตัวเมืองห้วยทรายไปยังสถานีขนส่งเมืองห้วย ทรายซึ่งตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองห้วยทรายระยะทางประมาณ 7 กม. มีรถโดยสารเดินทางไปยังเหมี่ยงล่าทุกวันจันทร์,
พุธ,ศุกร์ เวลา 08.30 นค่าโดยสาร คนละ 140,000 กีบหรือ 420 บาทผ่านเมืองหลวงน้ำทา ด่านบ่อแตนของลาวและบ่อ
หานของจีนไปสิ้นสุดที่เมืองเหมี่ยงล่าของจีนจากนั้นใช้บริการรถนอนโดยสารเที่ยวเวลา 19.30นอัตราค่าโดยสารคนละ
232 หยวน (1,120 บาท)ถึงเมืองคุณหมิงเวลาหกโมงเช้าของวันรุ่งขึ้นสำหรับรายละเอียดระยะทางมีดังต่อไปนี้
- กรุงเทพฯ - เชียงของ 957 กม.
- ห้วยทราย - บ่อแตน(ลาว) 228 กม.
- ด่านบ่อแตน(ลาว)- ด่านบ่อหาน(จีน) 1 กม.
- ด่านบ่อหาน(จีน) - เหมี่ยง ล่า
- เหมี่ยงล่า - คุนหมิง 631 กม.
รวมระยะทาง กรุงเทพฯ - เชียงของ –ห้วยทราย - เหมี่ยงล่า - คุนหมิง 1862 กม.
ขอบคุณข้อมูลจาก : www.idotravellers.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น